Sxx, Exx, Px, Cxxxx
SST ECL PM Cfresh
เพื่อเป็นการสะสมและแ่บงปันข้อมูลในการซื้อขายหุ้น ต้องขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลทั้งหลายครับ
BCP ตั้งเป้ากำลังการกลั่นปี 56 เพิ่มเป็น 1.2 แสนบาร์เรล/วัน, เล็งเปิดสถานีบริการตปท.
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจการตลาด บมจ. บางจากปิโตรเลียม (BCP) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการกลั่นเฉลี่ยในปีหน้าเป็น 1.2 แสนบาร์เรล/วัน จากขณะนี้ที่กลั่น 1.05 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากตามแผนบริษัทจะลงทุนด้านการตลาดประมาณ 2,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีจากนี้ เพื่อให้ปี 2558 บางจากฯ จะมีส่วนแบ่งการตลาดการขายน้ำมันค้าปลีกเป็นอันดับ 2 จากปัจจุบันที่อยู่อันดับ 3
ปัจจุบัน ปตท.มีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 39% ,เอสโซ่ 16% ,บางจาก 14% ,เชลล์ 12% ,คาลเท็กซ์ 6% และอื่นๆ 13% โดยดูจากยอดขายน้ำมันใสผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ที่มียอดขายเฉลี่ยทั่วประเทศ 1,502 ล้านลิตร/เดือน โดยในส่วนนี้เป็นยอดขายของบางจากฯ อยู่ประมาณ 207.8 ล้านลิตร/เดือน
ทั้งนี้ บางจากฯ มีแผนส่งเสริมการตลาดทุกด้าน โดยเฉพาะปั๊มกรีน สเตชั่น ยอดขายสูงเกินเป้าหมาย โดยขณะนี้มียอดขายสูงถึง 9 แสนลิตรต่อเดือน ขณะเดียวกันจะเร่งขยายปั๊ม E20 เป็น 600 แห่งภายในสิ้นปีนี้ จากขณะนี้มี 502 แห่ง เพราะพบว่ารถ E20 มีจำนวนสูงถึง 1.3 ล้านคันแล้ว แต่ยอดขายยังน้อยอยู่มีเพียง 20% หรือประมาณ 2 ล้านลิตร/วันเท่านั้น ซึ่งกระทรวงพลังงานมีการเพิ่มส่วนต่างราคา E20 อีกก็คาดว่าประชาชนจะสนใจ E20 มากขึ้น
นายยอดพจน์ กล่าวด้วยว่า บริษัทกำลังรุกไปยังตลาดค้าปลีกต่างประเทศเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน (AEC) ที่จะมีผลบังคับใช้ใน ปี 2558 โดยตั้งเป้าหมายจะเปิดสถานีบริการในลาว กัมพูชา และพม่า รวม 20 แห่ง แยกเป็น ลาว 10 พม่า 5 และกัมพูชา 5 แห่ง โดยจะเริ่มตั้งปั้มในต่างประเทศตั้งแต่ปลายปีนี้ ซึ่งจะเริ่มการลงทุนที่พม่า 1 แห่ง และลาว 2 แห่ง เพราะพม่าได้เปิดให้เอกชนลงทุนแข่งขันสร้างปั้มตั้งแต่กลางปีที่แล้ว โดยขณะนี้มีผู้ประกอบการท้องถิ่นจดทะเบียนเพื่อสร้างปั๊ม 15 แบรนด์ และบางจากฯ ก็จะเข้าไปร่วมลงทุนกับเอกชนท้องถิ่น เช่นเดียวกับในลาวก็จะร่วมทุนเอกชนท้องถิ่นซึ่งจะทำให้การลงทุนไม่สูงมาก โดยจะใช้แบรนด์บางจากฯ ซึ่งเป็นที่รู้จักเพราะก่อนหน้านี้ได้ส่งน้ำมันเครื่องไปจำหน่ายแล้วและยังเป็นการปักธงสำหรับ AEC ด้วย
เริ่มต้นจากกลุ่มที่น่าสนใจก่อน .....
1. หุ้นที่จะสร้างผลกำไรมหาศาลส่วนใหญ่มักเป็นหุ้น turnaround หมายถึงหุ้นที่กลับตัวกลับใจ จากเดิมที่ขาดทุนหรือธุรกิจไม่ดีแล้วฟื้นตัวกลับมามีกำไรและมีโครงการที่ดีต่อเนื่องในอนาคต ..... ประเด็นคือตอนที่จะซื้อนั้นออกจะเป็นลักษณะ high risk high return อยู่บ้าง เพราะการซือ้หุ้นเป็นการซือ้อนาคต ถ้าเราอ่านว่าโอกาสฟื้นสูง ราคายังไม่ขึ้น เราก็จะซื้อได้ในราคาถูก แล้วไปรอขายตอนที่ทุกคนเห็นพร้อมกันว่าฟื้นจริงแล้ว .... แต่มีข้อแม้นะคะว่าถ้าเราอ่านผิด ต้องไม่ถือต่อ cutทิ้งไปเลยนะคะ .... ตัวอย่างหุ้นประเภทนี้ ในรอบ2ปี ก็เช่น CNT JAS TMB เป็นต้น..... หรือที่เห็นชัดเจนก็คือกลุ่ม ยานยนต์ และอิเลคโทรนิกส์ ที่ลงจากซับไพร์ม และขึ้นจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว
2.หุ้นที่อยู่ในหลุม หมายถึงไม่มีอนาคตเลย แล้ววันดีคืนดีก็เริ่มมีข่าว แต่ยังไม่ชัดเจนเรื่องการฟื้นตัวของกำไร.... เพียงแต่เริ่มเห็นแสงสว่างเล็กๆที่ปลายอุโมงค์เท่านั้น เช่น เริ่มมีโครงการที่จะทำให้เห็น หรือข่าวดีที่มีลุ้นในอนาคตเช่นการปรับโครงสร้างหนี้ หรือศาลกำลังจะพิจรณาเรื่องแผนฟื้นฟู หุ้นประเภทนี้เล่นเก็งกำไรแบบฉาบฉวยพอได้ %ผลตอบแทนอาจสูงมาก แต่พอได้ต้องเลิกแล้วออกมาดูต่อว่า บริษัทนั้นจะทำได้จริงตามกระแสข่าวหรือไม่ ที่เล่นกันมาในอดีต ก็เช่น NPARK GSTEEL อ้อ ย้ำนะคะถ้ายังไม่turnaround จริงๆคือยังไม่มีกำไรให้เห็น ไม่ถือต่อนะคะ เก็งกำไรเท่านั้นค่ะ
3.หุ้นพื้นฐานดีที่ไม่ได้รับความนิยมในอดีต เรียกว่ากลุ่มเพชรในตม พีอีต่ำติดดิน บุ๊คสูง แล้ววันดีคืนดีก็มีกองทุน ไทยมั่ง เทศมั่งเห็นคุณค่า ตัวอย่างที่ชัดเจนในหุ้นประเภทนี้ก็คือกลุ่มแพคเกจ เช่น AJ PTLหรือกลุ่มยางเช่น STA TRUBB ที่ปรับตัวขึ้นมากว่า4-5เท่าตัวแล้ว
4.หุ้นพื้นฐานดีพิมพ์นิยม กลุ่มนี้ราคาอาจขึ้นลงไปตามภาวะตลาดรวม และเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม แต่ก็อาจมีกระแสข่าวรายตัว ทั้งข่าวบวกและลบเข้ามาบ้างเป็นระยะ เช่น กลุ่มแบงค์ใหญ่ BBL KBANK SCB PTT Family BANPU SCC กลุ่มนี้สามารถลงทุนได้ตลอดปีตามจังหวะและกระแสข่าวค่ะ แต่ผลตอบแทนอาจไม่เร้าใจมากนัก
5.หุ้นที่มีข่าวโครงการที่ดีมากในอนาคต ถ้าข่าวนั้นยังใหม่ซิงจะน่าสนมาก หุ้นประเภทนี้ต้องซื้อตอนข่าวใหม่ๆ และขายตอนข่าวเริ่มเก่า หรือเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมารับข่าวแล้ว เช่น IVL HEMRAJ เป็นต้น
6.หุ้นที่อิงกับราคาโภคภัณฑ์ตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ถ่านหิน สังกะสี น้ำตาล ยาง ถั่วเหลือง ข้าว กลุ่มนี้ตามติดให้ดี ถ้าอ่านเทรนด์ราคาตลาดโลกขาดก็จะทำให้ได้กำไรพอควรเลยละค่ะ เช่น PTTEP BANPU PDI KSL STA TVO KASET
คราวนี้มาดูกันที่แม่หมอมีวิธีตามหุ้นเหล่านี้อย่างไรกันนะคะ เริ่มตามนี้เลยค่ะ
1.เปิดโลกทัศน์ โดยการกระหน่ำอ่านบทวิเคราะห์ ของโบรกเกอร์ให้มากๆ หรือที่ง่ายกว่านั้น แม่หมอสรุปคอมเมนต์โบรกเกอร์ แต่ละวันลงมาให้เพื่อนๆอ่านแล้วในหุ้นมีข่าว วิธีการคือ อ่านจับประเด็นตัวหุ้น และเหตุผลที่แต่ละโบรกแนะนำ พร้อมราคาเป้าหมาย อย่าอ่านเพียงชื่อหุ้นเพื่อนเล่นตามรายวันนะคะ ไม่มีประโยชน์ค่ะ .... เมื่ออ่านไปนานๆ เราจะเริ่มมั่นใจในข้อมูล หรือจะเริ่มรู้แล้วว่าโบรกเกอร์ไหนความน่าเชื่อถืออยุ่ระดับใด อ้อ แอบกระซิบ ถ้าอ่านเจอเหตุผลที่โดนใจเป็นเหตุผลที่ยังใหม่อยู่ และราคาเป้าหมายสูงกว่าราคาปัจจุบันมาก นั่นแหละค่ะใช่เลย.... อ้อถ้าเป็นหุ้นใหญ่ อ่านบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ฝรั่งเสริมจะมีประโยชน์มากค่ะขอบอก (ซึ่งปกติจะหาอ่านยากเพราะไม่ค่อยเผยแพร่ค่ะ แต่แม่หมอก็จัดให้)
2.สังเกตุ ticker ระหว่างการเทรด ถ้าเคาะผ่านตาเริ่มถี่ ราคาเริ่มบวก เราก็นำมาโยงกับบทวิเคราะห์ที่เราอ่านเจอ เช็คกลับไปที่กราฟทางเทคนิคอีกครั้ง ถ้าทุกอย่าง confirm นี่ก็ใช่เลยละค่ะ
3. เลือกหุ้นจาก top twenty มูลค่าสูงสุดที่เทรดในแต่ละวัน ถ้าเป็นหุ้นขาประจำอาจไม่แปลก แต่ถ้าเป็นน้องใหม่เริ่มติดชาร์ช ต้องติดตามแล้วค่ะ แสดงว่าอาจมีอะไรดี ถ้า volume มาพร้องราคาปรับขึ้น น่าสน น่าสนค่ะ
แม่หมอก็ดูง่ายๆแค่นี้แหละค่ะ ส่วนจังหวะในการซือ้ มีสิ่งที่ต้องดูประกอบดังนี้ค่ะ
1.ติดตาม macro economics ทั้งในไทย และต่างประเทศ ว่าเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่
2. รู้เขารู้เรา ตามติด big player เม็ดเงินเข้าออกของฝรั่ง กองทุน และดูว่าไทยเอ็นวีดีอาร์ซือ้ขายหุ้นตัวไหนอยู่ จับตามุมมองตลาดของโบรกเกอร์ทั้งในและต่างประเทศ
3.ดูปัจจัยทางจิตวิทยาเช่น ดัชนีตลาดต่างประเทศ หรือติดตามกระแสนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
4.ดูราคาโภคภัณฑ์- updateข่าว การเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน
|
|
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์เฟ้น3ทำเลตั้งกองอสังหาฯ3.3พันล. |
THURSDAY, 01 MARCH 2012 15:10 |
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จัดตั้ง “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” ลงทุนใน 3 ทำเลใจกลางเมือง ประกอบด้วย กรรมสิทธิ์ (Freehold) ในโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท-ทองหล่อ และโครงการอาคารพักอาศัยให้เช่า เซนเตอร์ พอยต์ เรซิเดนซ์ พร้อมพงษ์ และสิทธิการเช่า (Leasehold) โครงการบ้านพักอาศัยให้เช่า แอล แอนด์ เอช วิลล่า สาทร รวมมูลค่าโครงการ 3.3 พันล้านบาท เผยจุดเด่นอยู่ที่ศักยภาพด้านทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ในย่านธุรกิจ ที่สามารถรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ด้วยอัตราการเข้าพักอาศัยเฉลี่ยทั้งปี 2554 อยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง พร้อมชูจุดเด่นด้วยการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำจนถึงปี 2558 โดยคาดว่าจะเสนอขายในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2555 กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการจัดตั้ง “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” (LHPF) เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ 3 โครงการ ประกอบด้วย การลงทุนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ (Freehold) ในโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท-ทองหล่อ และโครงการอาคารพักอาศัยให้เช่า เซนเตอร์ พอยต์ เรซิเดนซ์ พร้อมพงษ์ และลงทุนในสิทธิการเช่า (Leasehold) ในโครงการบ้านพักอาศัยให้เช่า แอล แอนด์ เอช วิลล่า สาทร รวมมูลค่าโครงการกว่า 3.3 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอจัดตั้ง และรอการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ทั้งนี้ โครงการทั้ง 3 แห่ง ถือเป็นโครงการที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากอยู่ในทำเลใจกลางเมือง เดินทางสะดวก โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติ ที่เป็นลูกค้าระยะยาว โดยอัตราการเช่าพักเฉลี่ยทุกโครงการในปี 2554 อยู่ในระดับที่สูงที่ประมาณ 80-90%
“เรามั่นใจว่า ด้วยศักยภาพของทรัพย์สินที่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHPF) เข้าไปลงทุน กับประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และการบริหารจัดการภายใต้แบรนด์ Centre Point ซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารและจัดการโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์มายาวนานเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ทำให้สามารถมั่นใจได้ถึงผลการดำเนินงานของโครงการ” นายอดิศรกล่าว
ด้านนางจันทนา กาญจนาคม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHPF) จะเข้าลงทุนในกรรมสิทธิ์ (Freehold) ด้วยการซื้อสินทรัพย์เพื่อเป็นเจ้าของที่ดินและอาคาร 2 โครงการในย่านสุขุมวิท คือ โครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท-ทองหล่อ และโครงการอาคารพักอาศัยให้เช่า เซนเตอร์ พอยต์ เรซิเดนซ์ พร้อมพงษ์ ส่วนที่เหลือจะเป็นการลงทุนในสิทธิการเช่า (Leasehold) อายุ 27 ปี (นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2555) ในโครงการบ้านพักอาศัยให้เช่า แอล แอนด์ เอช วิลล่า สาทร ทำให้กองทุนดังกล่าวมีสัดส่วนการลงทุนที่เป็น Freehold ถึง 80% และเป็นส่วน Leasehold ประมาณ 20% ทั้งนี้ กองทุนจะเข้าลงทุน โดยซื้อกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าจากเจ้าของสินทรัพย์เดิม
สำหรับจุดเด่นของกองทุน อยู่ที่การกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ 3 โครงการคุณภาพใจกลางเมือง ในทำเลที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับการพักอาศัยในกรุงเทพฯในปัจจุบัน ส่งผลให้กองทุนมีความเสี่ยงต่ำมากในเรื่องการสร้างรายได้ นอกจากนี้ ผู้ถือหน่วยยังได้รับประโยชน์จากการที่สินทรัพย์มีโอกาสเพิ่มมูลค่าจากราคาที่ดินในอนาคต ซึ่งเป็นประโยชน์ในระยะยาว ส่วนประโยชน์ในระยะสั้น คือการรับประกันผลตอบแทนถึงสิ้นปี 2558 โดยบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และผู้ร่วมทุน ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวน
นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุนหลักสำหรับกองทุน กล่าวว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ สำหรับภาวะอัตราดอกเบี้ยซึ่งเป็นช่วงขาลงในปัจจุบัน โดยความน่าสนใจของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHPF) อยู่ที่ประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และ ความสามารถในการบริหารโครงการของกลุ่มเซนเตอร์ พอยต์ และด้วยลักษณะของกระแสเงินสดจากผู้เช่าค่อนข้างแน่นอน ทำให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน นอกจากนี้ การลงทุนแบบ Freehold ยังให้โอกาสในการได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของทรัพย์สิน ในขณะที่โอกาสลดลงของมูลค่าทรัพย์สินมีค่อนข้างจำกัด รวมถึงการมีรายได้ที่เติบโตตามอัตราเงินเฟ้อ ทำให้การลงทุนมีส่วนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้ด้วย และมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)
ขณะที่นายสิทธิไชย มหาคุณ หัวหน้าหัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำการจัดจำหน่ายกองทุน กล่าวว่า หลังจากการนำเสนอข้อมูลของกองทุนให้กับนักลงทุนสถาบันและรายย่อย ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นในการบริหารจัดการโครงการของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ การรับประกันอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำของกองทุน รวมถึงจุดเด่นของโครงการในด้านของทำเลที่ตั้ง และศักยภาพ ตลอดจนโอกาสในการเติบโตของโครงการ ทำให้เชื่อว่ากองทุนจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั่วไป โดย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHPF) คาดว่าจะเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ได้ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ ภายหลังจากได้รับการอนุมัติจากสำนักงานก.ล.ต. กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาท ซึ่งผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและจองซื้อ ได้ที่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ทุกสาขา
|