Friday, September 28, 2012

กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ by พี่โจ ลูกอิสาน


0012 : กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ by พี่โจ ลูกอิสาน

" เอาบทความคลาสสิคอีกบทความนึงมาฝากครับ
จากพี่โจ ลูกอิสาน เช่นเดียวกับบทความที่แล้ว
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนพอร์ทเท่ามด(อนาคตเท่าช้าง)
เช่น พวกเราหลายๆคนนะครับ "




กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ / by ลูกอิสาน

ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็น คือ

1.ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด
2.ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด



ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ

1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน



1.1 เพิ่มรายได้ 

ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก
การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่
การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก)
การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อนมาก
ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน
เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา


1.2 การลดรายจ่าย 

รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ คือ
การผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money
เคยพูดไว้ว่าตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคตคือการซื้อรถ
แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่า
ทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน
ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก
ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น

-แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท
หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า
แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลงทุน

-แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่าย
น้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง
เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่
หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง
ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย
ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง


รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้เช่น
ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน
ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ
ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย)
เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ
ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ
เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน
เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอา สบายไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอื่นๆ(อยากรวย)
เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ
ความจำเป็นของแต่ละคน :D


ประเด็นแรกการหาเงินมาลงทุนให้มากที่สุด ผมคงไม่เน้นมากครับ
แต่จะไปเน้นในประเด็นที่สองคือทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด



ประเด็นที่สอง ทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด

ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก
การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ
การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี
กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5-6 ปี
ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก
แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน
นอกจากนั้นแม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้
แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย
และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ
เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า
อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า


การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ
สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ
ที่จริงกลยุทธ์เหล่านี้เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา
แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่
จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ :D


กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออก หรือท่านใดจะเสริม มีดังนี้ครับ

1.การทำการบ้าน(หุ้น) 

ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า
แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง-เป็นแรงบันดาลใจที่ชัดเจนที่สุด
ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่
เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น
มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น
หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน
วิธีทีดีที่สุด ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน
ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น
หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน
ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ



2.ไปหาปลาตรงที่มีปลา 

เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเรา ต้องการผลตอบแทนสูงๆ
ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ
เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา
ข้อสังเกตของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก
หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง
แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำได้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก
ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่ค่อยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม
ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง
หลักทรัพย์บางประเภทเช่นวอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยง
เพราะมีความ เสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้
ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง

ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์
ในทำนองเดียวกับที่ เราประเมินมูลค่าหุ้น
หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์
และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ
เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง
นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ



3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) 

หมาย ถึงมองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก
ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย
ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม
ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน
เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด
รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ
การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม
การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล กำไรพิเศษ
นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา
เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์

หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว
ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน
หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า



4.เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด 

เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ
ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ
ดังนั้นในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า
แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม การลงทุนให้เร็วที่สุด
จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว
นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย
ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น

เคยมีผลการวิจัยศึกษา พบว่านักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน
ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี
เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น
เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน
เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย
ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที



5. ผู้บริหารในฝัน 

เพราะผู้บริหารที่ดีจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติ
ผู้บริหารที่นักลงทุนควรมองหาคือ มีความรู้ซึ้งในธุรกิจที่ทำ
มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล มี passtion ในงานที่ทำ
มีความกระหายที่จะทำให้บริษัทเติบโต
และที่สำคัญต้องมองผลประโยชน์ในมุมมอง เดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย

ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย
เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ
การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบ
เป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนต่อไป

(เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่าง นี้
สังเกตจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ
เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้
กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย
แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)



6. ถือหุ้นน้อยตัว 

หากเรามีเงินทุนน้อย การกระจายการถือหุ้นหลายๆตัว
อาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
แต่ผลตอบแทนที่ได้จะหักล้างกันทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร
การเลือกที่จะถือหุ้นน้อยตัวเช่น 2-5 ตัว
จะทำให้เรามีความรอบคอบ พิถีพิถันที่จะเลือกถือหุ้นในกลุ่มที่ดีที่สุด
ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้)
และหากเราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ผลตอบแทนที่ได้รับจะคุ้มค่า

ตัวเลข 2-5 ตัวอาจจะปรับเปลี่ยนได้
ตามระดับความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่เราจะลงทุน



7. คาดหวังผลลัพธ์ 100% 

เลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้กำไรสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง
แม้หุ้นเหล่านี้อาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง
แต่เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะศึกษาให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงนี้
แน่นอนว่าในการลงทุนทุกอย่าง เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้
หากเราลงทุนในหุ้นที่แพ้ เราจะแพ้
หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสทั้งชนะและแพ้
เราจะมีโอกาสทั้งชนะและแพ้
ขึ้นอยู่กับว่าเราศึกษามากน้อยแค่ไหน และบางทีก็เป็น โชคชะตา..



8. Growth always better 

ถ้าหากหลายท่านจำกันได้
กระทู้ของคุณริวกะเมื่อไม่นานมานี้ TVI Index
ที่จริงอาจจะมีเพื่อนๆเอะใจว่า คำตอบการลงทุนที่ เราค้นหามานาน
อาจจะซ่อนอยู่ในกระทู้ที่ว่านี้ก็ได้
คำตอบที่ผมหมายถึงคือ
หากเราดูผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นหลายๆตัวที่ทำกำไรสูงๆ ในกระทู้นั้น
สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ
ทุกบริษัทเป็นหุ้นเติบโตสูงหรือ growth stock ทั้งสิ้น
คำอธิบายแบบเรียบง่ายคือราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำได้
ถ้ากำไรเพิ่ม ราคาหุ้นก็เพิ่ม คนที่ถือไว้ก็ได้กำไร
นักลงทุนทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน
จะมีหุ้นเติบโตสูงอยู่ในพอร์ตเสมอๆ

...เวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หากเราลงทุนในหุ้นโกรท...

No comments:

Post a Comment