เพื่อเป็นการสะสมและแ่บงปันข้อมูลในการซื้อขายหุ้น ต้องขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลทั้งหลายครับ
Thursday, August 23, 2012
ปลุก IPO รุ่นน้องคึก
|
TVD ปลุก IPO รุ่นน้องคึก!!! TVD เปิดเทรดวันแรกสุดบรรเจิดพุ่ง 128.57% จากราคาจองที่ 2.10 บาท ปลุกกระแสรุ่นน้อง 13 บริษัท ที่จ่อเข้าตลาด mai-SET คึกคัก0 ขณะที่ บล.ทิสโก้ ฟันธง! หนุน IPO สดใส แถมการันตีให้ผลตอบแทนเยี่ยม ระบุเรียกแขกลุยต่อเนื่อง ส่วนผู้บริหาร TVD ปลื้มวันแรกหุ้นทะยานบวก ฟาก HOTPOT จ่อขายหุ้นกลางเดือนก.ย.นี้ จำนวน 101 ล้านหุ้น ด้าน CNS คาดสิ้นปีเข็นเข้าตลาด mai 1 ดีล -ปี 56 มีอีก 3 ดีล
***TVD
เปิดเทรดวันแรกคึกคักพุ่ง 128.57%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวานนี้ (23 ส.ค.55) หุ้น IPO ของ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ หรือ mai เป็นวันแรก ปรากฏว่าราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 4.80 บาท เพิ่มขึ้น 2.70 บาท หรือ 128.57% จากราคา IPO ที่ 2.10 บาท สำหรับที่ผ่านมามีหุ้น IPO ที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จำนวน 3 บริษัท ซึ่งประกอบด้วย 1.บริษัท ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) หรือ VIH 2.บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV และ 3. บริษัท ศรีราชาคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SRICHA ส่วนตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) มีจำนวน 2 บริษัท ซึ่งประกอบด้วย 1. บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW และ 2.บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) หรือ UWC โดยการซื้อขายวันแรก 9 พ.ค. 2555 หุ้น VIH เปิดที่ 2.22 บาท เพิ่มขึ้น 0.97 บาท หรือ 77.6% จากราคา IPO ที่ 1.25 บาท/หุ้น , หุ้น AAV ซื้อขายวันแรก 31 พ.ค. 2555 เปิดที่ 4.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 8.10% จากราคา IPO ที่ 3.70 บาท และ SRICHA ซื้อขายวันแรก 31 พ.ค. 2555 เปิดที่ 18.50บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 23.33% จากราคา IPO ที่ 15.00 บาท ในขณะที่ PJW ซื้อขายวันแรก 28 ก.พ. 2555 เปิดที่ 4.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 25% จากราคา IPO ที่ 3.60 บาท และ UWC ซื้อขายวันแรก 12 ก.ค. 2555 เปิดที่ 3.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท หรือ 66.67% จากราคา IPO ที่ 1.80 บาท ***13 บริษัท จ่อเข้าเทรดในตลาด mai-SET ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการรวบรวมหุ้นที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคำขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 13 บริษัท ซึ่งประกอบด้วย 1.บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT 2.บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI 3.บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA 4.บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ADC 5.บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) หรือ AKP 6.บริษัท สยาม อมาโก้ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMACO 7.บริษัท เอ พลัส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ APLUS 8.บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ DNA 9.บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI 9.บริษัท ฮอต พอท จำกัด (มหาชน) หรือ HOTPOT 10.บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE 11.บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS 12.บริษัท ที.เอ็ม.ซี. อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMC 13.บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL ***บล.ทิสโก้ ฟันธง! TVD ปลุกกระแสหุ้น IPO คึก-ให้ผลตอบแทนเยี่ยม นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าจากสถิติของราคาหุ้น IPO ที่ซื้อขายภายในปีนี้ มีแน้วโน้มราคาปรับตัวดีเกินคาดทุกบริษัท โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากราคาจองทุกบริษัท ซึ่งถือว่าหุ้นที่เพิ่งขาย IPO ปีนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก แต่การลงทุนในหุ้น IPO มี 2 ส่วนที่นักลงทุนต้องศึกษาคือ พื้นฐานของบริษัท และราคา P/E ในตลาด " โดยพื้นฐานของหุ้น IPO ปีนี้ ส่วนใหญ่ราคาจองจะมีส่วนลดอยู่ที่ประมาณ 20 - 30% จากราคา IPO ซึ่งพอเวลาบริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงทำให้มีความต้องมาก ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนที่สูง จึงทำให้นักลงทุนที่ไม่ได้รับการจัดสรรเข้ามาเก็งกำไรในช่วงเปิดตลาดฯ และทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น" นายอภิชาติ กล่าว นอกจากนี้ยังมองว่าราคาที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งก็มาจากพื้นฐานของบริษัทที่จะซื้อขายหุ้น IPO ซึ่งหากราคาของหุ้นปรับตัวสูงมากแล้วนักลงทุนก็ไม่ควรเข้าไปเสี่ยงลงทุน เพราะราคาของหุ้นอาจสูงกว่า P/E ฉะนั้นจึงต้องการแนะนำให้นักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนในหุ้น IPO ต้องศึกษาหรือต้องอ้างอิงข้อมูลของราคาพื้นฐานด้วย อย่างการเข้าซื้อขายของหุ้น IPO ในวันแรก ของหุ้น TVD ที่เปิดตลาดราคาปรับขึ้นเกินกว่า 100% จากราคา IPO ที่ 2.10 บาท อาจปรับขึ้น เพราะสะท้อนผลประกอบการของบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่มองว่าหุ้นดังกล่าวมี P/E อยู่ที่ 25 เท่า ถือว่าสูงมากแล้ว รวมทั้งถือได้ว่าการขายหุ้น IPO ของ TVD ในครั้งนี้มีโอกาสเรียกกระแสความสนใจจากนักลงทุนได้มาก ส่วนแนวโน้มของหุ้น IPO ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเป็นสีสันของตลาดหุ้นไทยได้ เนื่องจากจะดึงดูดผู้ประกอบการและนักลงทุนให้สนใจเข้าจดทะเบียนในตลาดและลงทุนมากขึ้น แต่คงจะไม่มีผลมากพอต่อการขับเคลื่อนของตลาดฯ มากนัก ***FSS ให้ราคาเป้าหมาย TVD ปีหน้า 5 บ./หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ประเมินราคาเป้าหมายของ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ปีหน้าไว้ที่ 5 บาท เพิ่มขึ้นจากที่เคยประเมินไว้ 3 บาทในช่วงก่อนกระจายหุ้นจากกำไรในไตรมาส 2/2555 ที่ดี เกินคาดที่ 29 ล้านบาท +2,061% Q-Q, +111% Y-Y ทำให้กำไร 1H12 +82% Y-Y แนวโน้ม 2H12 สดใสจากการบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายและการคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 9% เป็น 89 ล้านบาท +156% Y-Y คาดกำไร 3 ปีข้างหน้า โตเฉลี่ย 43% ต่อปี ณ ราคา IPO 2.10 บาทคิดเป็น PE เพียง 8.8 เท่าปีนี้และ 6.0 เท่าปีหน้า ต่ำกว่า PE ตลาด MAI ที่ 14 เท่าและกลุ่มค้าปลีกที่ 20 เท่าอย่างมาก ***TVD ปลื้มเทรดวันแรกราคาหุ้นพุ่ง นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD เปิดเผยว่ารู้สึกดีใจ หลังจากที่หุ้น IPO ของบริษัทฯ เปิดการซื้อขายวันแรกเมื่อวานนี้ ราคาหุ้นเปิดที่ระดับ 4.80 บาท ซึ่งยืนเหนือราคาจองที่ 2.10 บาท 'คาดว่าที่ราคาหุ้นสามารถปรับตัวขึ้น น่าจะมาจากปัจจัยของธุรกิจที่เติบโตขึ้นทุกธุรกิจ และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศเวียดนาม สิงคโปร์และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้บริษัทฯ มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ' นายทรงพล กล่าว นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตประมาณ 17% จากปีก่อนที่ทำได้กว่า 1,902 ล้านบาท หลังจากบริษัทฯ เพิ่มสินค้ามากขึ้น ประกอบกับมีช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ส่วนในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทฯ มีรายได้ไปแล้ว 1,152 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิกว่า 30.64 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงช่องทางใหม่ๆ อย่างเคเบิลทีวี หรือโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่มียอดผู้ชมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถขายสินค้าผ่านช่องทางดังกล่าวได้มากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคาดว่าจะมีรายได้เฉลี่ยเติบโตปีละ 20% ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มของธุรกิจทีวีดาวเทียมที่ปรับตัวเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีผลต่อยอดขายของบริษัทฯ ให้เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย สำหรับปัจจุบันบริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในต่างประเทศ เช่น พันธมิตรในประเทศจีน จำนวน 7-8 ราย โดยบริษัทต่างๆ จะผลิตสินค้าส่งเข้าสู่บริษัทฯ เพื่อให้สามารถย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลาในการทยอยเข้ามาลงทุนในประเทศประมาณ 17-18 เดือน อย่างไรก็ตาม หากพันธมิตรย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยจะทำให้บริษัทฯ ลดต้นทุนในการขนส่งและสต็อกสินค้าให้ปรับตัวลดลง โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีการนำเข้าสินค้ากว่า 40-50% ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจะนำมาจากประเทศจีนประมาณ 95% จากสินค้าของบริษัทฯ ปัจจุบันที่มีกว่า 1,500 รายการ ***HOTPOT จ่อขายหุ้น IPO กลางเดือนก.ย.นี้ 101 ล้านหุ้น นางสาวสกุณา บ่ายเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) หรือ HOTPOT เปิดเผยว่าบริษัทมีแผนที่จะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 101 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.25 บาท ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2555 ก่อนจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือนกันยายน นี้ เช่นกัน ทั้งนี้หุ้น IPO ของบริษัทฯ จะแบ่งเป็นหุ้นใหม่ประมาณ 60 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 15% และหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมประมาณ 40 ล้านหุ้น หรือ 10% ซึ่งเป็นหุ้นของกองทุนออรีออส เซาท์ อีสท์ เอเชีย และกองทุนส่วนบุคคลธนาคารออมสินที่เดิมมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 35% แต่หลังจากขายหุ้น IPO สัดส่วนจะลดลงเหลือประมาณ 19% สำหรับราคาหุ้น IPO น่าจะสรุปได้ประมาณต้นเดือนกันยายน 2555 โดยจะสำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุนสถาบันก่อน (Book Build) ซึ่งจะมีบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย " ในช่วงที่ผ่านมา 2-3 ปี (ปี 2552-2554) บริษัทมีรายได้เติบโตประมาณ 20-30% ต่อปี แต่บริษัทไม่เคยจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น เนื่องจากนำเงินไปใช้ในการขยายธุรกิจ เพื่อให้มีจำนวนสาขาเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทก็มีนโยบายจ่ายเงินปันผลประมาณ 40% ของกำไรสุทธิ" นางสาวสกุณา กล่าว ส่วนปีนี้บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโต 20-30% จากปีก่อนที่ทำได้ 1,470 ล้านบาท แต่หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai แล้ว บริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตเรื่อยๆ แต่หลังจากนั้น 3-4 ปี อัตราการเติบโตอาจจะลดลงเหลือ 15-20% ต่อปี ส่วนการขยายสาขาในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดสาขาใหม่ประมาณ 20 สาขา ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 12 สาขา ทำให้มีสาขารวม 131 สาขา และคาดว่าสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 145 สาขา ตามเป้าหมาย โดยใช้งบลงทุนประมาณ 7-8 ล้านบาทต่อสาขา อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นราคาสินค้าบริษัทฯ ได้ปรับราคาสินค้าขึ้นไปแล้วประมาณ 7-8% หรือประมาณ 20 บาทต่อหัว จากราคา 299 บาท มาเป็น 319 บาท ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ปรับเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ที่มีผลบังคับตั้งแต่เดือนเม.ย.2555 ฉะนั้นในช่วงครึ่งปีหลัง บรษัทฯ คงยังไม่ปรับราคาสินค้า แต่สำหรับปีหน้าหากจะปรับราคาสินค้าคงจะเป็นอัตราเดียวกันกับปีที่ผ่านมาประมาณ 7-8% ***CNS คาดสิ้นปีเข็น IPO เข้าตลาด mai 1 ดีล -ปี 56 มีอีก 3 ดีล นายเอกจักร บัวหภักดี ผู้อำนวยการสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่าสิ้นปีนี้จะได้เห็นดีล IPO อีก 1 ดีล ซึ่งเป็นธุรกิจประกอบชิ้นส่วนยานยนต์ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอไอ (mai) เพราะเตรียมยื่นไฟลิ่งให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายในสิ้นเดือนนี้ สำหรับปี 2556 บริษัทฯ มีดีล IPO อยู่ปัจจุบันจำนวน 3 ดีล ซึ่งเป็นธุรกิจโลหะมีค่า ธุรกิจสัญญาณติดรถยนต์ และธุรกิจพลังงงานทดแทน โดยธุรกิจสัญญาณติดรถยนต์จะเข้าจดทะเบียนใน SET ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ทั้งนี้ภายในสิ้นปีนี้บริษัทฯ ยังได้ร่วมกับ บลจ.ฟินันซ่า ในการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ารวมกว่า 700 ล้านบาท ซึ่งหวังว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ***KGI เผย Q4/55 เตรียมดัน IPO เข้า SET อีก 1 บริษัท นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า คาดว่าภายในไตรมาส 4/2555 บริษัทฯ จะมีการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO ให้แก่บริษัท 1 แห่งซึ่งประกอบธุรกิจสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทน โดยจะเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) อย่างไรก็ดีจะสามารถนำเข้าเทรดในสิ้นปีนี้ได้หรือไม่ ยังต้องประเมินผลว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ทันหรือไม่ ส่วนในปีหน้าบริษัทฯมีแผนที่จะนำหุ้น IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดฯอีกประมาณ 5 บริษัทในกลุ่มธุรกิจวิศวกรรม โดยจะแบ่งเป็นจดทะเบียนใน SET 3 บริษัท และ mai 2 บริษัท ขณะที่แผนการ M&A อยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 บริษัทในกลุ่มธุรกิจบริการ โดยภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุป 1 บริษัท เป็นธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาซื้อกิจการภายในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ดีบริษัทที่อยู่ระหว่างการเจรจาไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย สำหรับแนวโน้มรายได้ธุรกิจไอบี ปีนี้ถือว่าเป็นไปตามแผนแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ***BTS กำหนดอัตราส่วนหุ้น BTS 367.00-442.80 ต่อ 1 หุ้น VGI บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า บมจ. วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ BTS ถือหุ้นใหญ่ทางอ้อมในสัดส่วน 96.44% จะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป(IPO) จำนวน 88,000,000 หุ้น โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัดเป็นที่ปรึกษาการเงิน ซึ่ง VGI ได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ VGI จำนวน 25,074,432 หุ้น เพื่อเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นสามัญของ BTS โดยอัตราส่วนการจัดสรร หุ้นสามัญของ BTS 367.22- 442.80 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท) จะได้รับสิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ VGI จำนวน 1 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท)(เศษหุ้นที่เป็นทศนิยมที่เกิดจากการคำนวณสิทธิจะถูกปัดทิ้ง) ทั้งนี้ BTS จะแจ้งถึงอัตราส่วนหุ้นสามัญของ BTS ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ VGI ที่แน่นอน ให้ทราบผ่านช่องทางเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯภายในวันที่ 5 กันยายน 2555 ภายหลังจากที่ BTS ทราบจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท ณ วันที่ 4 กันยายน 2555 วันที่กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ VGI ในวันที่ 4 กันยายน 2555 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 แห่งพระราชบัญญัติ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 5 กันยายน 2555 โดยราคาเสนอขายหุ้นจะเป็นราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ซึ่งจะกำหนดและแจ้งให้ทราบในภายหลังผู้ถือหุ้นสามัญของ BTS จะมีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญของ VGI ในจำนวนน้อยกว่าหรือเท่ากับสิทธิที่ตนจะได้รับ โดยห้ามจองซื้อเกินกว่าสิทธิที่ผู้ถือหุ้นได้รับ ทั้งนี้ หากมีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นสามัญของ BTS แล้ว VGI จะนำหุ้นดังกล่าวไปเสนอขาย IPO ต่อไป นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์จะไม่ขึ้นเครื่องหมายบนหลักทรัพย์ของ BTS สำหรับการให้สิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ VGI ดังกล่าว เนื่องจากการให้สิทธิดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างทุนของ BTS อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ขอแจ้งให้ทราบว่า ผู้ซื้อหลักทรัพย์ BTS ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป จะไม่ได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ VGI ***FA เผย "สยาม อมาโก้ฯ" เล็งเข้าตลาด mai ปีนี้ น.ส.ธัญญรัตน์ กำพลวัชรา รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.โกลเบล็ก ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษท สยาม อมาโก้ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทคาดว่าจะสามารถนำสยาม อมาโก้ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ทันภายในปีนี้ หลังจากที่ยื่นไฟลิ่งให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ไปเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ทาง ก.ล.ต.ได้ติดต่อมาเพื่อเข้ามาเยี่ยมชมกิจการบริษัทดังกล่าวภายในเดือนนี้ ทั้งนี้ สยาม อมาโก้ฯ มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)จำนวน 65 ล้านหุ้น โดยมีเป้าหมายที่จะระดมเงินทุนราว 100 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูงไม่เกิน 8 ชั้น ซึ่งบริษัทมีโครงการใหม่ที่จะดำเนินการย่านมีนบุรี หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการในซอยลาดพร้าว 71 มาแล้ว ส่วนการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้จะมี บล.คันทรี่ กรุ๊ป(CGS) เข้ามาเป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายด้วย |
Wednesday, August 15, 2012
How to Make Money in the Stock Market
How to Make Money in the Stock MarketMaking money requires work - even in the stock market. Most successful investors study a variety of sources and ask a lot of questions
Things You'll Need:
• Brokerage Accounts
1. Step 1.Shop for undervalued companies.2. Step 2. Find stocks that have price-earnings ratios (P/E Ratios) significantlylower than those of their peer group.3. Step 3. Watch for bad news. Wall Street often overreacts to bad news such as missed earnings, which will drive a stock lower than it should go.4. Step 4. Pick the jockey, not the horse. Find out who is running the company and where the executives worked previously.
5. Step 5. Look for strong balance sheets. Companies with low debt loads, positive cash flow and consistently good earnings are good prospects.6. Step 6. Check out the portfolios of successful mutual-fund companies. If they are getting great returns year after year, they are holding stocks you might want to buy.
7. Step 7. Know when to cut your losses. You want to invest for the long term, but you don't want to stick with a consistent loser.
8. Step 8. Work hard. Do research. Read financial news. Study quarterly and annual reports as well as registration statements, looking for trends and opportunities.9. Step 9. Grill your broker. If the broker is recommending XYZ stock, ask for a detailed explanation, with an eye to growth prospects and historical performance.
เปิด 22 หุ้นกำไร Q2/55 โตต่อเนื่องและโตจาก Q2/54
เปิด 22 หุ้นกำไร Q2/55 โตต่อเนื่องและโตจาก Q2/54
วันพุธที่ 15 สิงหาคม 2555 เวลา 15:54:00 น.ผู้เข้าชม : 1462 คน
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ กลุ่มหุ้นที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/55 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้าจำนวน 22 บริษัท ได้แก่ SPPT DEMCO SMM PRANDA PRG CFRESH BLAND CPN CM CTW TSTE ASIA UNIQ CCET MCHAI SITHAI SIRI TF TCCC APRINT MDX PRIN
ส่วนหุ้นที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/55 ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้า จำนวน 23 บริษัท ได้แก่ SSI STA TPIPL PDI TIP OGC NOBLE TR TYM GRAMMY FORTH CHOTI KBS AMC LOXLEY KKC TKS TCB SPACK LVT BUI TGPRO THRE
Monday, August 13, 2012
หุ้นถูกและดี ก็เป็นหุ้นปั่นได้เหมือนกัน
นิยามของหุ้นปั่น(วิธีใช้ประโยชน์และหลีกเลี่ยง)
หลายคนบอกว่าหุ้นปั่น คือหุ้นที่ขึ้น-ลงทีละหลายๆช่อง หรือ ceilling ติดต่อกันหลายๆวัน บางคนบอกว่าคือหุ้นที่ขึ้นด้วย vol น้อยๆ มีรายใหญ่คุม
ถ้าเชื่อตามนิยามข้างต้น หุ้นถูกและดี ก็เป็นหุ้นปั่นได้เหมือนกัน
เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว applejob มองว่าตลาดน่าจะผันผวนเนื่องจากวิกฤติยุโรบ เห็นทีต้องเข้าหลบภัยในหุ้นโรงพยาบาล bgh ก็ซื้อไปแล้วตั้งแต่ pe ยังไม่ถึง 20 ตอนนั้นก็ใกล้เต็มมูลค่า เลยมองหาหุ้นโรงพยาบาลตัวอื่นที่ โดยกำหนดเกณฑ์ดังนี้
1. กำไรก็โตต่อเนื่อง
2. ROE ROA>15, net profit margin>10 ,ปันผล>4 %
3. PE ยังต่ำกว่า PEของกลุ่ม และไม่เกิน 20 หรือ PEไม่เกิน 10
4. มีกุลยุทธ์ในการเติบโตชัดเจน
ตอนนั้น NTV PE 12 ขยายตัวโดยการเพิ่มเตียง ตัวเลขทางการเงินดี เงินสดดี หนี้น้อย
????????????????อ่าว.........ไหนว่าหุ้นดี ขายทำไมอ่ะ??????????????????
อันนี้มองไว้แล้วว่าน่าจะขายแถวๆ PE 17 ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ก็ถือรอไป เพราะโรงพยาบาลที่ไม่มีสาขา ตลาดย่อมให้ PE ต่ำกว่า โรงพยาบาลที่มีสาขา และเหตุผลเรื่องการปรับพอร์ทอื่นๆอีกมากมาย
นี้เป็นตัวอย่างของการเล่นหุ้นปั่น 5555 ม่ายช่าย....
เป็นการซื้อกิจการที่ดี ในขณะที่ตลาดยังไม่ได้ให้ราคาต่างหาก
เพราะเมื่อตลาดเริ่มให้ราคามันจะวิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตา เค้าเรียกว่า วิ่งไปหามูลค่าที่แท้จริง กำไร 50% เป็นเรื่องธรรมดาของหุ้นถูกและดี เป็นรางวัลของความขยัน และตั้งใจ และจะลงหนักๆให้เห็นก็ต่อเมื่อเจอวิกฤติใหญ่ๆ เช่น น้ำท่วม หรือวิกฤติซัพไพร์ม หรือพื้นฐานกิจการเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง
คำว่าหุ้นปั่นมักถูกนำมาใช้ เมื่อคนเหล่านั้นไม่รู้ว่าพื้นฐานกิจการคืออะไร ดูแต่ราคาที่ขึ้นๆลงๆ เก็งกำไรกันบนข่าว และความคาดหวัง เวลาร่วงลงแรงๆ จึงสรุปว่าหุ้นตัวนั้นปั่น
ที่เราเจ็บตัว เพราะเราไม่รู้ว่า การซื้อขายรอบนั้น ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานกิจการที่แท้จริง หลังจากที่ผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ผู้บริหารออกมาแก้ข่าว หรือไม่เป็นไปตามข่าว ก็โดนขายทำกำไรออกมา โดยคนที่ถูกเรียกว่ารายใหญ่ และไม่เคยกลับไปที่ราคานั้นอีกเลย เพราะกิจจารมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เมื่อเราขาดทุน เราโทษพวกที่ปั่นหุ้น ไม่เคยโทษตัวเอง แท้จริงแล้ว
ความไม่รู้ของเราเองต่างหากที่เป็นตัวอันตราย ที่ทำให้ขาดทุนตลอดมา
ส่วนตัวแล้ว applejob ไม่เคยใส่ใจว่าหุ้นตัวไหนจะปั่นหรือไม่ ให้รกสมอง ไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลาคิด ไม่เคยดูว่าวอลุ่มเข้าหรือยัง ไม่ดู bid ไม่ดู offer วันๆนั่งลับมีด (ปัญญา) หาความรู้ ฟัง คิด อ่าน เขียน
มุ่งหน้ากำจัดความไม่รู้ให้หมดไปเท่าที่จะทำได้
Friday, August 10, 2012
BTS คาดหลังเพิ่มราคาพาร์ ราคาจะเคลื่อนไหวขึ้นลงคล่องขึ้น
โฉมใหม่ของรถไฟฟ้ามาหานะเธอว์
ระยะสั้น แนวรับ5.20-5.25 ต้าน5.60ถัดไป6-6.50
ระยะกลาง แนวรับ5+/- ต้าน6.50-7.50+/-
BTSได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเหมือ
น นั่นคือได้มีมติปรับเพิ่มราคาพา ร์จาก 0.64 บาท/หุ้น เป็น 4.00 บาท/ หุ้น(สวนทางคนอื่นๆที่เขามีแต่ลด ราคาพาร์ลงมา) เริ่มเทรดราคาพาร์ใหม่ในวันนี้( 10สิงหาคม)
ผลกระทบ:จะทำให้จำนวนหุ้นลดลงจา
ก 57,188 ล้านหุ้น เป็น 9,150 ล้านหุ้น มีผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น (BVS) เพิ่มขึ้นจาก 0.62 บาท/หุ้น เป็น 3.86 บาท/หุ้น และจะมีผลให้ EPS, BVS ตลอดจนราคาพื้นฐาน/ หุ้น ปรับเพิ่มขึ้น (คูณด้วย 6.25) กล่าวคือราคาพื้นฐานปรับเพิ่มจาก 1.15 บาท เป็น 7.15 บาท ตามจำนวนหุ้นที่ลดลง
การเพิ่มราคาพาร์ผมว่าคงมีผลในก
ารเทรดดังนี้
1.คงขึ้นลงได้คล่องกว่าก่อนที่ก
ว่าจะผ่านแต่ละด่าน ทีละตังค์นี่แทบตาย ต่อไปหากพาร์เป็น4บาท มันก็จะขึ้นลงทีละ5ตังค์ก็ขึ้นง ่ายลงง่ายกว่า(ลองนึกดูพวกIRPC TRUEที่ราคาแถวๆ4บาท) แต่หากไปเทรดที่1.80เท่าของบุ๊ค แบบหุ้นรถไฟฟ้าในเอเชีย ก็จะเป็น7บาทที่ว่าไป
2.แต่ผลลบคือ คนจะเคาะซื้อขายทีเป็นล้านหุ้นอ
ย่างแต่ก่อนก็คงไม่แล้วหละนะครั บ
หากเทียบกับหุ้นรถไฟฟ้าในภูมิภา
คเอเชียด้วยกันแล้ว(จีน ฮ่องกง สิงคโปร์)ซื้อขายกันที่P/ BV 1.80เท่าตัว และต่ำกว่าหุ้นรถไฟใต้ดินBMCLที่ซื้อขายอยู่สูงถึง3.88เท่ าตัว
ดังนั้นหากให้BTSซื้อขายที่ค่าเ
ฉลี่ยเท่ากับP/ BVของหุ้นรถไฟฟ้าในตลาดหุ้นเอเชี ยที่ 1.8 เท่าตัว ราคาเหมาะสมทางพื้นฐานควรอยู่ที ่ 7.15 บาท หลังเพิ่มราคาพาร์เป็น 4 บาท
สรุปคำแนะนำการลงทุน-ถือลงทุน รับปันผล และคาดหวังจะมีCapital gainที่งดงามต่อไป
ระยะสั้น แนวรับ5.20-5.25 ต้าน5.60ถัดไป6-6.50
ระยะกลาง แนวรับ5+/- ต้าน6.50-7.50+/-
BTS คาดหลังเพิ่มราคาพาร์ ราคาจะเคลื่อนไหวขึ้นลงคล่องขึ้
น เลิกเป็นจอมอืด ราคาพื้นฐานเป้าหมาย7.15บาทBTSได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเหมือ
น นั่นคือได้มีมติปรับเพิ่มราคาพา
ผลกระทบ:จะทำให้จำนวนหุ้นลดลงจา
ก 57,188 ล้านหุ้น เป็น 9,150 ล้านหุ้น มีผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น (BVS) เพิ่มขึ้นจาก 0.62 บาท/หุ้น เป็น 3.86 บาท/หุ้น และจะมีผลให้ EPS, BVS ตลอดจนราคาพื้นฐาน/
การเพิ่มราคาพาร์ผมว่าคงมีผลในก
ารเทรดดังนี้
1.คงขึ้นลงได้คล่องกว่าก่อนที่ก
ว่าจะผ่านแต่ละด่าน ทีละตังค์นี่แทบตาย ต่อไปหากพาร์เป็น4บาท มันก็จะขึ้นลงทีละ5ตังค์ก็ขึ้นง
2.แต่ผลลบคือ คนจะเคาะซื้อขายทีเป็นล้านหุ้นอ
ย่างแต่ก่อนก็คงไม่แล้วหละนะครั
หากเทียบกับหุ้นรถไฟฟ้าในภูมิภา
คเอเชียด้วยกันแล้ว(จีน ฮ่องกง สิงคโปร์)ซื้อขายกันที่P/
ดังนั้นหากให้BTSซื้อขายที่ค่าเ
ฉลี่ยเท่ากับP/
สรุปคำแนะนำการลงทุน-ถือลงทุน รับปันผล และคาดหวังจะมีCapital gainที่งดงามต่อไป
คอลัมน์ คุณฉุยคุยเอง 13/8/2012 จำนวน 4 แผ่น
คอลัมน์ คุณฉุยคุยเอง 13/8/2012 จำนวน 4 แผ่น
เรียน คุณตะวัน Bizweek
จาก คุณฉุย 01-441-3638
สัญญาณซื้อ Golden cross, Bullish Convergence ทั้งกราฟรายวัน รายสัปดาห์
1. คณะกรรมการ FOMC ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Fund Rate) อยู่ในกรอบ 0 – 0.25% ซึ่งเป็นระดับที่ได้กำหนดไว้ในการประชุม เดือน ธ.ค. 2008 และระบุว่าภาวะทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในระดับต่ำต่อไป อย่างน้อยจนถึงปี 2014 และยังได้มีมติคงมาตรการ Operation Twist ไปถึงสิ้นปีนี้ โดยเฟดดำเนินมาตรการดังกล่าว ด้วยการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นประเภทไม่เกิน 3 ปี และเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ในปริมาณเท่ากัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อกดดัน อัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดต่ำลง
2. นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามีโอกาส สูงถึง 63% คณะกรรมการ FOMC จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปีนี้ ในการประชุม 12 – 13 ก.ย. 55 หลังตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ค. พุ่งสูงขึ้น 163,000 ตำแหน่ง มากที่สุดในรอบ 5 เดือน นักเศรษฐศาสตร์ คาดการณ์แค่ 100,000 ตำแหน่ง ทำให้คาดการณ์ว่า มีโอกาสที่ เฟดจะดำเนินมาตรการ QE3 โดย QE1 และ QE2 เฟดดำเนินการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้จำนองไปแล้ว 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ คาดการณ์ว่า QE3 น่าจะใช้เงินเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้จำนอง 5 แสนล้านดอลลาร์
3. จีน เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ ย่ำแย่ทั้งการส่งออก นำเข้าชะลอตัวเกินคาด มองว่า จีนอาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1.0% ในเดือน ก.ค. จากช่วงเดียวของปีที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8.6% และลดลงอย่างมากจากที่เพิ่มขึ้น 11.3% ในเดือน มิ.ย. ส่วนการนำเข้า เพิ่มขึ้นเพียง 4.7% ในเดือน ก.ค. ต่ำกว่าที่คาดไว้จะเพิ่มขึ้น 7.2% และลดลงอย่างมากจากที่เพิ่มขึ้น 6.3% ในเดือน มิ.ย. ส่งผลให้จีน มียอดเกินดุลการค้า 2.51 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือน ก.ค. เทียบกับที่คาดไว้ 3.43 หมื่นล้านดอลลาร์ และลดลง 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน มิ.ย.
4. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) พร้อมที่จะแทรกแซงตลาดพันธบัตรอย่างจริงจังเร็วๆนี้ หวังลดบอนด์ยิลด์ของสเปน ภาระหน้าที่ของ ECB ครอบคลุมการคุ้มครองความเป็นปึกแผ่น ของยูโรโซน, หากกรีซออกจากกลุ่มยูโรโซน ไม่มีแผนการสำรองไว้สำหรับประเทศใดๆ ที่จะออกจากกลุ่มยูโรโซน, คาดการณ์ว่า ทางการยุโรปจะมีความคืบหน้าในการแก้ไขวิกฤติหนี้ แม้ยังมีความกังวลเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนชะลอตัว, แม้ปัจจัยต่างประเทศส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเป็นลบ แต่ดัชนีหุ้นไทย (SET) ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป แนวทางเหมือนกับ ดัชนี DJIA, FTSE, DAX, NIX, HSKI, KS11
5. บริษัทจดทะเบียนทยอยประกาศผลการดำเนินงานและประกาศจ่ายเงินปันผล ออกมาเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดภายใน 1 – 2 สัปดาห์นี้ หากบริษัทไหนผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง และมากกว่าหรือใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาด ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องส่วนบริษัทไหนที่ผลประกอบการแย่ ราคาหุ้นจะสะท้อนเชิงลบทันที
6. ค่าเงินบาท แข็งค่า แกว่งตัวในช่วงแคบ ขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ มาสนับสนุน, วันหยุดยาว ล่าสุด 31.47 บาท/ดอลลาร์ จากเดิมที่อ่อนค่า ระดับ 31.95 บาท/ดอลลาร์ เงินทุนเริ่มไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ฝรั่งต่างชาติ เริ่มทยอยซื้อหุ้นกลับคืนวัน ละ1 – 2 พันล้านบาท/วัน แสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทย โดยมีผลประกอบการที่ดีในหลายๆ บริษัทขับเคลื่อนให้ดัชนีปรับเพิ่มสูงขึ้น,
7. ทิศทางการเมืองไทย ช่วงนี้ ยังไม่มีเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งใหญ่ๆ รัฐบาลพยายามประคองไปเรื่อยๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่อไป เรื่องสำคัญคือ การปรับครม., พรบ. ปรองดอง จะนำมาพิจารณาหรือไม่ หากไม่มีการนำมาพิจารณาช่วงนี้ การเมืองไทยก็ไม่มีปัญหาอะไรการดำเนินตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางไว้ จะเกิดความต่อเนื่องส่งผลดีต่อภาพเศรษฐกิจโดยรวม
8. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เริ่มเปลี่ยนทิศทางเป็นบันไดขาขึ้น ทำจุดต่ำยกสูงขึ้น, จุดสูงสุดสูงขึ้น (New High) กำลังทดสอบแนวต้าน 94 – 95 ดอลลาร์/บาร์เรล (แนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน) หากยืนเหนือได้จะกลายเป็นสัญญาณซื้อทันที เป็นสัญญาณบวกกับหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี แรงซื้อกลับใน PTT, TOP, BANPU, PTTGC, IVL, EARTH ทยอยซื้อเข้าพอร์ตเพราะราคาน้ำมันเข้าสู่ไตรมาส 3 ใกล้ฤดูหนาว, ใช้พลังงานมากขึ้น,
9. SET Daily โดย EMA 5 = 1,213 จุด, EMA 10 วัน = 1,207 จุด, EMA 25 = 1,198 จุด, 75 วัน = 1,179 จุด และ EMA 200 วัน = 1,132 จุด ตามลำดับ ดัชนีได้ปรับตัวลดลงมาชนแนวรับ 1,173 จุด (EMA 75 วัน) ไม่หลุด แล้วปรับตัวขึ้นต่อและเกิดสัญญาณบวก Golden Cross ขึ้นมา, เกิด Bullish Convergence ที่ราคาหุ้นและ MACD, 14RSI, Modified Stochastic มีจุดต่ำยกสูงขึ้น, หากผ่านแนวต้านจุดสูงสุดเดิม 1,228 – 1,230, 1,250 จุด ขึ้นมาได้แรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่จะกลับมาทันที และหากปริมาณการซื้อขาย ระดับ 35,000 – 45,000 ล้านบาท/วันได้ จะสนับสนุนให้ดัชนี ไปทดสอบแนวต้าน 1,300 จุด ได้ต่อไป
10. SET weekly โดย EMA 5 week = 1,200 จุด, 10 week = 1,189 จุด, 25 week = 1,163 จุด, 75 week = 1,083 จุดและ EMA 200 week = 938 จุด ตามลำดับ หลังยืนเหนือ 1,150 จุด ได้เกิด Golden cross คือ EMA 5 week ตัด 10 week ขึ้นมาได้กลายเป็นสัญญาณซื้อขึ้นมา, เกิดสัญญาณ Bullish Convergence จุดต่ำยกสูงขึ้นทั้ง MACD, 14RSI weekly โดย Indicators เพิ่งเริ่มสั่งเป็นสัญญาณซื้อขึ้นมา
11. การลากเส้นแนวโน้มลง โดยกำหนดจุดสูงสุด (H1) 1,247.72 จุด ผ่าน H2 = 1,228.80 จุด จะพบว่า เส้นแนวโน้มมีแนวต้านที่ 1,225 จุด หากผ่านแนวต้าน 1,225 – 1,230, 1,250 จุดตามลำดับ ให้ซื้อหุ้นตามน้ำถือ รอขายระยะเป้าหมาย 1,300 จุด ต่อไป
12. . หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ GLOBAL, GLOBAL-W, JAS, BANPU, BIGC, KAMART, GOLD, GOLD-W1, PTTGC, IVL, PTT, THCOM, , UMI, EARTH, BGH, HTC, BAY,FOCUS, SCB, KBANK, BBL, TCAP, KK, ADVANC, CPF, CPALL, VNG, JTS, E,
13. สรุป ดัชนีช่วงนี้ ยังไม่มีปัจจัยเชิงลบหนักๆ โดยเฉพาะปัจจัยการเมืองภายใน, ค่าเงินบาทแข็งค่า เงินทุนไหลเข้า ต่างชาติเริ่มซื้อคืนสุทธิ, ขาดแค่ปริมาณการซื้อขายสนับสนุนหากซื้อขายกัน 35,000 – 45,000 ล้านบาท/วันได้ดัชนีไปต่อได้ไกล ลุ้นแนวต้านสำคัญ 1,300 จุดได้ หากปริมาณการซื้อขายไม่ขยับมากนักแนวต้านระยะสั้นๆ 1,230, 1,250, 1,270 และ 1,300 จุด ตามลำดับ หุ้นเด่นเลือกในข้อ 12. สัญญาณทางเทคนิคเป็นบวกที่ดี ทั้งเกิด Bullish Convergence, Golden cross ทั้งแบบรายวันและรายสัปดาห์, ราคาน้ำมันเริ่มเป็นขาขึ้น หุ้นกลุ่มพลังงานจะกลับมา หลังจากก่อนหน้านำโดยกลุ่ม ICT, BANK หากต่างชาติกลับมา หุ้นขนาดใหญ่ หาจังหวะลงทุนแล้วถือให้ดีก็แล้วกันครับ, หากเลือกหุ้นไม่ได้ อย่าลืมมาเรียนหลักสูตร ไต่บันไดเซียนหุ้น รุ่น 13 กันครับ
14. หลักสูตร ไต่บันไดเซียนหุ้น รุ่น 13 เรียน 5 วัน ศุกร์- อังคาร 7 – 11 ก.ย. 2555 สถานที่ ชั้น 3 อาคาร ซอฟแวร์ปาร์ค (ตรงข้ามเซ็นทรัล แจังวัฒนะ) ตามคำเรียกร้อง สำหรับคนที่มีเวลาเรียนหลักสูตรใหญ่เต็มๆ ได้ (5 วัน) โดยผสมผสานปัจจัยทางพื้นฐานและกราฟทางเทคนิค เพื่อเลือกซื้อหุ้นรายตัว หุ้นพื้นฐานเป็นอย่างไร ตัวเลขทางการเงินสำคัญๆ น่าสนใจหรือไม่, กราฟทางเทคนิคสวยหรือไม่ เรียนไป ซื้อขายหุ้นไป ดูจอหุ้น Real Time เพื่อดูทิศทางตลาดหุ้นแบบของจริง (ซื้อขายจริงๆ) และประยุกต์ การใช้งาน การวิเคราะห์และซื้อขายหุ้น จำกัดแค่ 30 ที่นั่ง สำรองที่นั่งด่วน คุณฉุยและทีมงาน โทร. 02-646-9652 – 3, 081-441-3638
เรียน คุณตะวัน Bizweek
จาก คุณฉุย 01-441-3638
สัญญาณซื้อ Golden cross, Bullish Convergence ทั้งกราฟรายวัน รายสัปดาห์
1. คณะกรรมการ FOMC ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Fund Rate) อยู่ในกรอบ 0 – 0.25% ซึ่งเป็นระดับที่ได้กำหนดไว้ในการประชุม เดือน ธ.ค. 2008 และระบุว่าภาวะทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในระดับต่ำต่อไป อย่างน้อยจนถึงปี 2014 และยังได้มีมติคงมาตรการ Operation Twist ไปถึงสิ้นปีนี้ โดยเฟดดำเนินมาตรการดังกล่าว ด้วยการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นประเภทไม่เกิน 3 ปี และเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ในปริมาณเท่ากัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อกดดัน อัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดต่ำลง
2. นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามีโอกาส สูงถึง 63% คณะกรรมการ FOMC จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปีนี้ ในการประชุม 12 – 13 ก.ย. 55 หลังตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ค. พุ่งสูงขึ้น 163,000 ตำแหน่ง มากที่สุดในรอบ 5 เดือน นักเศรษฐศาสตร์ คาดการณ์แค่ 100,000 ตำแหน่ง ทำให้คาดการณ์ว่า มีโอกาสที่ เฟดจะดำเนินมาตรการ QE3 โดย QE1 และ QE2 เฟดดำเนินการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้จำนองไปแล้ว 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ คาดการณ์ว่า QE3 น่าจะใช้เงินเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้จำนอง 5 แสนล้านดอลลาร์
3. จีน เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ ย่ำแย่ทั้งการส่งออก นำเข้าชะลอตัวเกินคาด มองว่า จีนอาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1.0% ในเดือน ก.ค. จากช่วงเดียวของปีที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8.6% และลดลงอย่างมากจากที่เพิ่มขึ้น 11.3% ในเดือน มิ.ย. ส่วนการนำเข้า เพิ่มขึ้นเพียง 4.7% ในเดือน ก.ค. ต่ำกว่าที่คาดไว้จะเพิ่มขึ้น 7.2% และลดลงอย่างมากจากที่เพิ่มขึ้น 6.3% ในเดือน มิ.ย. ส่งผลให้จีน มียอดเกินดุลการค้า 2.51 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือน ก.ค. เทียบกับที่คาดไว้ 3.43 หมื่นล้านดอลลาร์ และลดลง 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน มิ.ย.
4. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) พร้อมที่จะแทรกแซงตลาดพันธบัตรอย่างจริงจังเร็วๆนี้ หวังลดบอนด์ยิลด์ของสเปน ภาระหน้าที่ของ ECB ครอบคลุมการคุ้มครองความเป็นปึกแผ่น ของยูโรโซน, หากกรีซออกจากกลุ่มยูโรโซน ไม่มีแผนการสำรองไว้สำหรับประเทศใดๆ ที่จะออกจากกลุ่มยูโรโซน, คาดการณ์ว่า ทางการยุโรปจะมีความคืบหน้าในการแก้ไขวิกฤติหนี้ แม้ยังมีความกังวลเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนชะลอตัว, แม้ปัจจัยต่างประเทศส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเป็นลบ แต่ดัชนีหุ้นไทย (SET) ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป แนวทางเหมือนกับ ดัชนี DJIA, FTSE, DAX, NIX, HSKI, KS11
5. บริษัทจดทะเบียนทยอยประกาศผลการดำเนินงานและประกาศจ่ายเงินปันผล ออกมาเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดภายใน 1 – 2 สัปดาห์นี้ หากบริษัทไหนผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง และมากกว่าหรือใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาด ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องส่วนบริษัทไหนที่ผลประกอบการแย่ ราคาหุ้นจะสะท้อนเชิงลบทันที
6. ค่าเงินบาท แข็งค่า แกว่งตัวในช่วงแคบ ขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ มาสนับสนุน, วันหยุดยาว ล่าสุด 31.47 บาท/ดอลลาร์ จากเดิมที่อ่อนค่า ระดับ 31.95 บาท/ดอลลาร์ เงินทุนเริ่มไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ฝรั่งต่างชาติ เริ่มทยอยซื้อหุ้นกลับคืนวัน ละ1 – 2 พันล้านบาท/วัน แสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทย โดยมีผลประกอบการที่ดีในหลายๆ บริษัทขับเคลื่อนให้ดัชนีปรับเพิ่มสูงขึ้น,
7. ทิศทางการเมืองไทย ช่วงนี้ ยังไม่มีเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งใหญ่ๆ รัฐบาลพยายามประคองไปเรื่อยๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่อไป เรื่องสำคัญคือ การปรับครม., พรบ. ปรองดอง จะนำมาพิจารณาหรือไม่ หากไม่มีการนำมาพิจารณาช่วงนี้ การเมืองไทยก็ไม่มีปัญหาอะไรการดำเนินตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางไว้ จะเกิดความต่อเนื่องส่งผลดีต่อภาพเศรษฐกิจโดยรวม
8. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เริ่มเปลี่ยนทิศทางเป็นบันไดขาขึ้น ทำจุดต่ำยกสูงขึ้น, จุดสูงสุดสูงขึ้น (New High) กำลังทดสอบแนวต้าน 94 – 95 ดอลลาร์/บาร์เรล (แนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน) หากยืนเหนือได้จะกลายเป็นสัญญาณซื้อทันที เป็นสัญญาณบวกกับหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี แรงซื้อกลับใน PTT, TOP, BANPU, PTTGC, IVL, EARTH ทยอยซื้อเข้าพอร์ตเพราะราคาน้ำมันเข้าสู่ไตรมาส 3 ใกล้ฤดูหนาว, ใช้พลังงานมากขึ้น,
9. SET Daily โดย EMA 5 = 1,213 จุด, EMA 10 วัน = 1,207 จุด, EMA 25 = 1,198 จุด, 75 วัน = 1,179 จุด และ EMA 200 วัน = 1,132 จุด ตามลำดับ ดัชนีได้ปรับตัวลดลงมาชนแนวรับ 1,173 จุด (EMA 75 วัน) ไม่หลุด แล้วปรับตัวขึ้นต่อและเกิดสัญญาณบวก Golden Cross ขึ้นมา, เกิด Bullish Convergence ที่ราคาหุ้นและ MACD, 14RSI, Modified Stochastic มีจุดต่ำยกสูงขึ้น, หากผ่านแนวต้านจุดสูงสุดเดิม 1,228 – 1,230, 1,250 จุด ขึ้นมาได้แรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่จะกลับมาทันที และหากปริมาณการซื้อขาย ระดับ 35,000 – 45,000 ล้านบาท/วันได้ จะสนับสนุนให้ดัชนี ไปทดสอบแนวต้าน 1,300 จุด ได้ต่อไป
10. SET weekly โดย EMA 5 week = 1,200 จุด, 10 week = 1,189 จุด, 25 week = 1,163 จุด, 75 week = 1,083 จุดและ EMA 200 week = 938 จุด ตามลำดับ หลังยืนเหนือ 1,150 จุด ได้เกิด Golden cross คือ EMA 5 week ตัด 10 week ขึ้นมาได้กลายเป็นสัญญาณซื้อขึ้นมา, เกิดสัญญาณ Bullish Convergence จุดต่ำยกสูงขึ้นทั้ง MACD, 14RSI weekly โดย Indicators เพิ่งเริ่มสั่งเป็นสัญญาณซื้อขึ้นมา
11. การลากเส้นแนวโน้มลง โดยกำหนดจุดสูงสุด (H1) 1,247.72 จุด ผ่าน H2 = 1,228.80 จุด จะพบว่า เส้นแนวโน้มมีแนวต้านที่ 1,225 จุด หากผ่านแนวต้าน 1,225 – 1,230, 1,250 จุดตามลำดับ ให้ซื้อหุ้นตามน้ำถือ รอขายระยะเป้าหมาย 1,300 จุด ต่อไป
12. . หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ GLOBAL, GLOBAL-W, JAS, BANPU, BIGC, KAMART, GOLD, GOLD-W1, PTTGC, IVL, PTT, THCOM, , UMI, EARTH, BGH, HTC, BAY,FOCUS, SCB, KBANK, BBL, TCAP, KK, ADVANC, CPF, CPALL, VNG, JTS, E,
13. สรุป ดัชนีช่วงนี้ ยังไม่มีปัจจัยเชิงลบหนักๆ โดยเฉพาะปัจจัยการเมืองภายใน, ค่าเงินบาทแข็งค่า เงินทุนไหลเข้า ต่างชาติเริ่มซื้อคืนสุทธิ, ขาดแค่ปริมาณการซื้อขายสนับสนุนหากซื้อขายกัน 35,000 – 45,000 ล้านบาท/วันได้ดัชนีไปต่อได้ไกล ลุ้นแนวต้านสำคัญ 1,300 จุดได้ หากปริมาณการซื้อขายไม่ขยับมากนักแนวต้านระยะสั้นๆ 1,230, 1,250, 1,270 และ 1,300 จุด ตามลำดับ หุ้นเด่นเลือกในข้อ 12. สัญญาณทางเทคนิคเป็นบวกที่ดี ทั้งเกิด Bullish Convergence, Golden cross ทั้งแบบรายวันและรายสัปดาห์, ราคาน้ำมันเริ่มเป็นขาขึ้น หุ้นกลุ่มพลังงานจะกลับมา หลังจากก่อนหน้านำโดยกลุ่ม ICT, BANK หากต่างชาติกลับมา หุ้นขนาดใหญ่ หาจังหวะลงทุนแล้วถือให้ดีก็แล้วกันครับ, หากเลือกหุ้นไม่ได้ อย่าลืมมาเรียนหลักสูตร ไต่บันไดเซียนหุ้น รุ่น 13 กันครับ
14. หลักสูตร ไต่บันไดเซียนหุ้น รุ่น 13 เรียน 5 วัน ศุกร์- อังคาร 7 – 11 ก.ย. 2555 สถานที่ ชั้น 3 อาคาร ซอฟแวร์ปาร์ค (ตรงข้ามเซ็นทรัล แจังวัฒนะ) ตามคำเรียกร้อง สำหรับคนที่มีเวลาเรียนหลักสูตรใหญ่เต็มๆ ได้ (5 วัน) โดยผสมผสานปัจจัยทางพื้นฐานและกราฟทางเทคนิค เพื่อเลือกซื้อหุ้นรายตัว หุ้นพื้นฐานเป็นอย่างไร ตัวเลขทางการเงินสำคัญๆ น่าสนใจหรือไม่, กราฟทางเทคนิคสวยหรือไม่ เรียนไป ซื้อขายหุ้นไป ดูจอหุ้น Real Time เพื่อดูทิศทางตลาดหุ้นแบบของจริง (ซื้อขายจริงๆ) และประยุกต์ การใช้งาน การวิเคราะห์และซื้อขายหุ้น จำกัดแค่ 30 ที่นั่ง สำรองที่นั่งด่วน คุณฉุยและทีมงาน โทร. 02-646-9652 – 3, 081-441-3638
Tuesday, August 7, 2012
วิธีการลงทุนของ พี่โจ ลูกอีสาน
ผมปรับพอร์ตบ่อยๆครับ เหตุผลมักเป็นอย่างนี้
1.เจอหุ้นตัวที่ดีกว่า แต่ไม่มีเงินก็ต้องขายตัวที่ด้อยที่สุดไป
2.ตัวที่ถือพื้นฐานเปลี่ยน อันนี้แน่นอนก็ต้องขายออก
3.หุ้นขึ้นจนราคาสมเหตุสมผล ผมก็อาจจะขายไปเพิ่มตัวที่ยังต่ำกว่ามูลค่า
4.หุ้นลงผมก็ปรับพอร์ต ขายตัวที่ลงน้อยไปซื้อตัวที่มีอัพไซด์มาก
ผมก็ปรับไปเรื่อยครับ ตามข้อมูลที่ได้รับมา ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าบ่อยแค่ไหน หรือกี่เปอร์เซนต์ของพอร์ต ตั้งแต่ซื้อหุ้นมายังถือไม่เกิน 3 ปีเลยครับ เฉลี่ยเกือบๆปีประมาณนั้น แต่เห็นด้วยครับว่าตลาดผันผวน เราสามารถใช้การปรับพอร์ตหาประโยชน์จากความผันผวนนั้นได้ ผมยกตัวอย่างง่ายๆเช่น เราลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และหุ้น ถ้าตลาดซบเซาหนักๆเราก็ควรย้ายเงินจากกองทุนมาลงหุ้นให้มากขึ้น หรือเปลี่ยนไปถือหุ้นตัวทีมีอัพไซด์สูงกว่า หากตลาดเป็นขาขึ้นหาหุ้นลงทุนได้ยาก อาจจะต้องเปลี่ยนไปถือตัวที่ defensive มีปันผลเยอะหน่อยๆ ประมาณนี้ครับ
ปกตินักวิเคราะห์เป็นคนมองโลกในแง่ดี ถ้าเชียร์ขายแสดงว่าอาจจะมีอะไรไม่ดีจริงๆ เราอ่านแล้วก็ต้องคิดเองว่าจริงหรือเปล่า (ผมเคยกำไรหุ้นที่นักวิเคราะห์เชียร์ให้ขายน้อยกว่าหุ้นที่เชียร์ให้ซื้อมาก) ถ้าเราเห็นว่าไม่ดีจริงก็ขายไปซื้อตัวที่ดีกว่า อย่ามองในแง่ดีเพียงเพราะเรามีหุ้น และอย่ามองในแง่ดีว่าเดี๋ยวราคาก็จะกลับมา ราคาอาจจะกลับมาก็จริงแต่ไม่รู้เมื่อไหร่ เสียเวลา เสียโอกาสที่จะซื้อหุ้นดีๆตัวอื่นๆครับ
รู้ได้อย่างไรว่ากำไรจะโต ที่จริงถ้าเราติดตามข่าวสารของบริษัทสม่ำเสมอ ก็พอจะมองออกครับว่ากำไรจะโตหรือเปล่า หรือจะมองแนวโน้มเทรนการบริโภคก็ได้แต่จะชัดเจนน้อยกว่า เพราะหลายบริษัทขายสินค้าเทคโนโลยีที่เป็นเทรน แต่กลับขาดทุนก็เยอะแยะ ผมยกตัวอย่างตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าน้ำมันแพงดังนั้นสินค้าแทนทดน้ำมันน่าจะได้รับผลดี เช่น ums lanna pttep banpu uvan cpi upoic lst สำคัญอยู่ที่ว่าราคาหุ้นตอนนี้กับกำไรต่อหุ้นในอนาคตมีส่วนต่างให้นักลงทุนทำกำไรหรือเปล่า
รู้ได้อย่างไรว่ากำไรจะโต ที่จริงถ้าเราติดตามข่าวสารของบริษัทสม่ำเสมอ ก็พอจะมองออกครับว่ากำไรจะโตหรือเปล่า หรือจะมองแนวโน้มเทรนการบริโภคก็ได้แต่จะชัดเจนน้อยกว่า เพราะหลายบริษัทขายสินค้าเทคโนโลยีที่เป็นเทรน แต่กลับขาดทุนก็เยอะแยะ ผมยกตัวอย่างตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าน้ำมันแพงดังนั้นสินค้าแทนทดน้ำมันน่าจะได้รับผลดี เช่น ums lanna pttep banpu uvan cpi upoic lst สำคัญอยู่ที่ว่าราคาหุ้นตอนนี้กับกำไรต่อหุ้นในอนาคตมีส่วนต่างให้นักลงทุนทำกำไรหรือเปล่า
ผมมีหุ้นที่ติดตามผลกำไรทุกไตรมาสประมาณ 80 ตัว
และหุ้นที่ติดตามแบบห่างๆอีกประมาณ 120 ตัว
รวมๆก็ครึ่งนึงของตลาดพอดี
ผมเชื่อว่ายิ่งติดตามมาก เราก็ยิ่งรู้พื้นฐานมากขึ้น ขอบข่ายความรู้มากขึ้น ยิ่งติดตามมากโอกาสที่จะเจอช้างเผือกก็สูง เวลามีข่าวสารเข้ามาเราก็รู้ทันทีว่าเป็นข่าวดีหรือไม่ดี ซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลอีก
tfi เป็นหุ้นวัฎจักร ait เป็นหุ้น turnaround
มีอีกตัวที่เป็นกึ่งวัฎจัรกึ่งฟื้นตัว ตัวนั้นคือ gfpt
ตัวนี้ผมเริ่มมาสนใจเพราะอ่านงานวิจัยของโบรค บริษัทลุ่มๆดอนๆมาหลายปีผลจากวิกฤติไข้หวัดนก และปริมาณสินค้าที่เกินความต้องการ q1-q2 ยังขาดทุน แต่q3 กำไร 140 ล. ผมก็สนใจแต่ยังไม่แน่ใจว่าดีจริงหรือเปล่า อาจเป็นความผันผวนรายไตรมาส ก็ไม่ได้สนใจอีกเลย จนประกาศผลประกอบการรอบปีกำไรโตขึ้นมาก ผมก็ดูผ่านๆ ลืมไปแล้วว่าดีติดต่อกัน 2 ไตรมาส วันรุ่งขึ้นไปส่งลูกที่โรงเรียนเจอรุ่นพี่นอกเวป บอกว่าตัวนี้กำไรโตขึ้นมาก ผมสนใจหรือเปล่า กลับมาผมรีบหาข้อมูลประมาณ 1 ชม.ก่อนตลาดเปิด เปิดมาหุ้นขึ้นไป 10% ผมก็ยังซื้อ ซื้อจนเงินหมด ชักสงสัยว่าหุ้นดีจริงหรือเปล่า เพราะมีแรงขายเยอะเหลือเกิน กลับมาดูพื้นฐานก็พอจะสบายใจได้บ้าง ถ้าทำกำไรได้เหมือนq4 ที่ 180 ล. P/E ที่ราคา 13.8 ประมาณ 2.4 เท่า
และหุ้นที่ติดตามแบบห่างๆอีกประมาณ 120 ตัว
รวมๆก็ครึ่งนึงของตลาดพอดี
ผมเชื่อว่ายิ่งติดตามมาก เราก็ยิ่งรู้พื้นฐานมากขึ้น ขอบข่ายความรู้มากขึ้น ยิ่งติดตามมากโอกาสที่จะเจอช้างเผือกก็สูง เวลามีข่าวสารเข้ามาเราก็รู้ทันทีว่าเป็นข่าวดีหรือไม่ดี ซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลอีก
tfi เป็นหุ้นวัฎจักร ait เป็นหุ้น turnaround
มีอีกตัวที่เป็นกึ่งวัฎจัรกึ่งฟื้นตัว ตัวนั้นคือ gfpt
ตัวนี้ผมเริ่มมาสนใจเพราะอ่านงานวิจัยของโบรค บริษัทลุ่มๆดอนๆมาหลายปีผลจากวิกฤติไข้หวัดนก และปริมาณสินค้าที่เกินความต้องการ q1-q2 ยังขาดทุน แต่q3 กำไร 140 ล. ผมก็สนใจแต่ยังไม่แน่ใจว่าดีจริงหรือเปล่า อาจเป็นความผันผวนรายไตรมาส ก็ไม่ได้สนใจอีกเลย จนประกาศผลประกอบการรอบปีกำไรโตขึ้นมาก ผมก็ดูผ่านๆ ลืมไปแล้วว่าดีติดต่อกัน 2 ไตรมาส วันรุ่งขึ้นไปส่งลูกที่โรงเรียนเจอรุ่นพี่นอกเวป บอกว่าตัวนี้กำไรโตขึ้นมาก ผมสนใจหรือเปล่า กลับมาผมรีบหาข้อมูลประมาณ 1 ชม.ก่อนตลาดเปิด เปิดมาหุ้นขึ้นไป 10% ผมก็ยังซื้อ ซื้อจนเงินหมด ชักสงสัยว่าหุ้นดีจริงหรือเปล่า เพราะมีแรงขายเยอะเหลือเกิน กลับมาดูพื้นฐานก็พอจะสบายใจได้บ้าง ถ้าทำกำไรได้เหมือนq4 ที่ 180 ล. P/E ที่ราคา 13.8 ประมาณ 2.4 เท่า
Posted by admin in Investment on ก.ค. 4th, 2010 | no responses
(6 votes, average: 4.83 out of 5)
วิธีการลงทุนของ พี่โจ ลูกอีสาน
ผมตัดแปะมาจากกะทู้ในตำนานนะครับ : ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับท่านนี้สุดยอดจริงๆ ไอดอลของผมเลย
####
วิธีการเรียบง่ายที่ผมใช้ทำมาหากินแทบทุกครั้ง จะเป็นอย่างนี้ครับ..
1. หา P/E ที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท บริษัทไหนที่คาดการง่ายหน่อย กำไรโตเรื่อยๆ ปันผลดี พวกนี้จะ P/E สูงเหมือนพวกค้าปลีก โรงพยาบาล เป็นต้น ส่วนพวกที่ด้อยกว่า เช่น พวกรับเหมา ก็ให้ P/E ต่ำๆ
2. หา P/E ในอนาคต(อันใกล้)ของบริษัทที่เราสนใจ นี่หมายความว่าเราต้องประมาณกำไรของกิจการได้ เราจะทำได้ต้องหาข้อมูลเพื่อประเมินกำไรให้ผิดพลาดน้อยที่สุด
3. หาส่วนต่างของ P/E ที่เหมาะสม และ P/E ที่จะเกิดขึ้นจริง เช่น เราประเมินว่าบริษัทนี้ควรมี P/E 15 เท่า แต่เราประเมินแล้วราคาตลาดวันนี้หรือในอนาคตใกล้ๆนี้ P/E แค่ 7 เท่า นั่นแสดงว่า ราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 50% (มี margin of safety 50%) อย่างนี้น่าสนใจครับ ปกติต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นซัก 30% ผมก็สนใจแล้ว
ผมมีความเชื่ออย่างนี้นะ..
*ระยะยาว หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดเสมอ
*ตลาดเหมือนฤดูกาลที่มีทั้งรุ่งเรืองตกต่ำ หน้าหนาว-หน้าร้อน ขอให้เราเข้าใจและหาประโยชน์จากความจริงข้อนี้
*นักลงทุนเอกของโลกทุกคน เคยผ่านวิกฤติมาแล้วหลายครั้ง หนักหนากว่านี้ก็มี ถ้าหยุดลงทุนก็คงไม่มีวันนี้ แม้แต่ ดร.นิเวศน์ ท่านเริ่มลงทุน 10 ปีที่แล้ว ตอนที่ดัชนีประมาณ 800 จุด ท่านได้ผลตอบแทน 30 เท่า ทั้งที่วันนี้ดัชนีตลาดต่ำกว่า 10 ปีที่แล้ว
*ผมพูดเสมอๆว่า ตรรกะของการทำกำไรจากหุ้นคือ ซื้อถูกขายแพง คำถามต่อไป แล้วเราจะขายได้แพงตอนตลาดเป็นแบบไหน และหากเราจะซื้อของให้ได้ราคาถูก เราจะซื้อได้ตอนที่ตลาดเป็นอย่างไร
*การขายหุ้นและเลิกลงทุนตอนตลาดตกต่ำ เป็นการละเมิดศีลที่สำคัญที่สุดของนักลงทุน vi เพราะนั่นหมายความว่า เราจะไม่มีโอกาสได้กำไรกลับคืนตอนตลาดกลับไปรุ่งเรืองเลย
*มองไปวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า 5 ปี 10 ปีข้างหน้า แล้วทุกอย่างในวันนี้มันจะผ่านไป
*อย่าให้อารมณ์ของตลาด มาหยุดความมุ่งมั่นในการลงทุนของเรา อย่าทำให้เราหมดกำลังใจที่จะทำการบ้าน ศึกษาหาความรู้
*เราลงทุนวันนี้ ไม่ใช่เพื่อให้รวยพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ แต่เพื่อ 10 ปี 20 ปีข้างหน้า
*เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้า ก็ตอนน้ำลด
ผมแนะนำครับ..
1. หามูลค่าที่เหมาะสมเสียก่อน พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ
2. ดูราคาในตลาด ว่าสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่เราคำนวณได้
3. ตัดสินใจ ซื้อหรือขาย
ผมมองว่าที่หลักการลงทุน vi เติบโตเด่นได้รับความนิยมขึ้นมา ไม่ใช่เพียงเพราะมีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่เป็นเพราะความเป็นเหตุเป็นผลของมัน คือหุ้นจะขึ้นจะลงเพราะมีเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นจะขึ้นเพราะหลายคนบอกว่าจะขึ้น และมันจะลงเพราะหลายคนบอกว่ามันจะลง
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลอย่างเดียว เพราะเป็นคนก็ต้องมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมก็ยังเป็น แต่ถ้าเราจะเป็น vi ที่ประสบความสำเร็จ เราต้องพิจาณาด้วยเหตุผลธุรกิจเป็นหลักครับ
ส่วนเรื่องจาก ซื้อเพิ่ม, cut loss ผมไม่กล้าแนะนำ แต่ผมจำที่ใครคนหนึ่งเคยพูดทำนองว่า ลืมต้นทุนที่ซื้อมา คิดเสียว่าพอร์ตตอนนี้เป็นเท่าไหร่ หุ้นในตลาดตัวไหนน่าซื้อที่สุด ขายไปซื้อตัวนั้น ถ้าเป็นตัวเดิมก็ไม่ต้องทำไร
ผมเชื่อว่า มี 2 แรงที่ผลักดันราคาหุ้น
1. กำไร >> เราเรียกรวมว่า พื้นฐาน
2. ปัจจัยด้านจิตวิทยา – อารมณ์ของตลาด
ประเด็นแรก เป็นสิ่งที่นักลงทุนแนว vi ต้องวิเคราะห์อยู่แล้ว แต่ถ้าเข้าใจประเด็นที่สองด้วย ก็จะเพิ่มผลตอบแทนได้อีกครับ ผมตอบไม่ได้ชัดเจนว่า เราจะดูอารมณ์จิตวิทยาของตลาดได้อย่างไร(ยังไม่รู้จริง) แต่ประมาณว่า ถ้าเราเข้าใจอารมณ์ตลาด เรามักจะได้ซื้อหุ้นที่ดี ที่ราคาไม่แพง
เหมือนที่ Graham เปรียบเปรยเป็นนิทาน Mr. Market ครับ นอกจากนั้น เราอาจพิจารณาจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดว่า เค้านิยมหุ้นพิมพ์แบบไหน ในอุตสาหกรรมใดที่กำลังจะฮอต หุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ราคาต่ำหรือราคาสูง เหล่านี้เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ครับ เราลงทุนแนว vi แต่พิจารณาไว้บ้างก็ไม่เสียอะไร
ผมปรับพอร์ตบ่อยๆครับ เหตุผลมักเป็นอย่างนี้
1. เจอหุ้นตัวที่ดีกว่า แต่ไม่มีเงินก็ต้องขายตัวที่ด้อยที่สุดไป
2. ตัวที่ถือพื้นฐานเปลี่ยน อันนี้แน่นอนก็ต้องขายออก
3. หุ้นขึ้นจนราคาสมเหตุสมผล ผมก็อาจจะขายไปเพิ่มตัวที่ยังต่ำกว่ามูลค่า
4. หุ้นลงผมก็ปรับพอร์ต ขายตัวที่ลงน้อยไปซื้อตัวที่มีอัพไซด์มาก
ผมก็ปรับไปเรื่อยครับ ตามข้อมูลที่ได้รับมา ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าบ่อยแค่ไหน หรือกี่เปอร์เซนต์ของพอร์ต ตั้งแต่ซื้อหุ้นมายังถือไม่เกิน 3 ปีเลยครับ เฉลี่ยเกือบๆปีประมาณนั้น แต่เห็นด้วยครับว่า ตลาดผันผวน เราสามารถใช้การปรับพอร์ตหาประโยชน์จากความผันผวนนั้นได้
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และหุ้น ถ้าตลาดซบเซาหนักๆเราก็ควรย้ายเงินจากกองทุนมาลงหุ้นให้มากขึ้น หรือเปลี่ยนไปถือหุ้นตัวทีมีอัพไซด์สูงกว่า หากตลาดเป็นขาขึ้น หาหุ้นลงทุนได้ยาก อาจจะต้องเปลี่ยนไปถือตัวที่ defensive มีปันผลเยอะหน่อยๆ ประมาณนี้ครับ
ระยะเวลาที่ถือหุ้น สั้นที่สุดนี่จำได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ครับ ซื้อแล้วขึ้นไปประมาณ 30% ผมก็ขายซิครับ เพราะผมหวังผลตอบแทนแค่นั้น ส่วนยาวนี่ไม่แน่ใจครับ ประมาณ 2 ปี ที่จริง ประเด็นเรื่องเวลาการถือครองหุ้นไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ คำถามที่สำคัญกว่าคือ ราคาเหมาะสมกับพื้นฐานหรือยัง และการถือหุ้นนานๆก็มีผลเสียนะครับ เช่น เราจะเฉื่อยชา ผูกผัน เกิดความลำเอียง รักหุ้นตัวเอง
และถ้ามองในแง่ผลตอบแทน ดูตัวเลขนี้ครับ
*หุ้นตัวแรก เราซื้อผ่านไป 1 ปี ขายที่ราคาเป้าหมายได้กำไร 60% ทั้งปีได้กำไร 60%
*หุ้นตัวที่ 2 เราซื้อผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมาย ขายออกไปซื้อหุ้นตัวที่ 3 ผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมายอีก รวมทั้งปีได้ผลตอบแทน 96%
หุ้นตัวแรกให้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ถ้าให้เลือกผมขอซื้อหุ้นตัวที่ 2-3 ดีกว่า นี่คงคล้ายกับ turnover rate ในงบดุลครับ ยิ่งหมุนมากกำไรก็ยิ่งมาก(เรายังไม่พูดถึงความเสี่ยงนะ)
ผมติดตามพื้นฐานของหุ้นที่อยู่ใน watch list เสมอๆ
ผมมีหุ้นที่ติดตามผลกำไรทุกไตรมาส ประมาณ 80 ตัว และหุ้นที่ติดตามแบบห่างๆอีกประมาณ 120 ตัว รวมๆก็ครึ่งนึงของตลาดพอดี
ผมเชื่อว่า ยิ่งติดตามมาก เราก็ยิ่งรู้พื้นฐานมากขึ้น ขอบข่ายความรู้มากขึ้น ยิ่งติดตามมาก โอกาสที่จะเจอช้างเผือกก็สูง เวลามีข่าวสารเข้ามาเราก็รู้ทันทีว่า เป็นข่าวดีหรือไม่ดี ซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลอีก
ผมอ่านหนังสือพิมพ์หุ้นเกือบทุกฉบับ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ อ่านงานวิจัยของโบรคเกอร์ อีไฟแนนซ์ ข่าวตลาด และ tvi ประมาณนี้ครับ อ่านแบบสแกน ถ้าเจอหุ้นที่น่าสนใจจะอ่านแบบละเอียด ไม่อย่างนั้นต้องใช้เวลาเยอะ
คือถ้าเราติดตามข่าวสารบ่อยๆเราจะรู้ว่าแหล่งข่าวไหนที่เราควรจะอ่านครับ
ที่จริงใช้เวลาวันละ 2 ชม. ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการลงทุนแบบมุ่งเน้น(ผลตอบแทน) หรือวันละ 1 ชม. สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นแบบการออม
ผมเคยทำงานประจำมาก่อน ยอมรับว่ามีข้อจำกัดเยอะกว่าคนที่ลงทุนเต็มเวลา และไม่สนับสนุนให้ทุกคนลาออกเพียงเพื่อจะได้มีเวลาหาข้อมูล แต่เราก็ควรให้เวลากับการลงทุนตามสมควร
เพราะการใช้เวลาวันละเล็กละน้อยหลังเลิกงาน หาข้อมูล อาจจะเปลี่ยนสถานะภาพทางด้านการเงิน เปลี่ยนชีวิตคนๆนึงได้เลย ในขณะที่ถ้าทำงานประจำอย่างเดียวมีโอกาสน้อยกว่ามาก
ผมยังจำได้ดร.นิเวศน์เคยเขียนบทความทำนองว่า เราใช้เวลาส่วนใหญ่วันๆไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ และให้เวลาน้อยเกินไปกับเรื่องทีสำคัญที่สุด
ที่มา : ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
วิถีชีวิต วิธีลงทุน แบบ VI : ลูกอีสาน
Posted by admin in Investment on ธ.ค. 29th, 2009 | no responses
(2 votes, average: 5.00 out of 5)
พี่โจ ได้กรุณาส่งแนวคิดสั้นๆ มาร่วมในการเสวนา
“วิถีชีวิตวีธีลงทุน แบบวีไอ” ซึ่งจัดเมื่อ วันเสาร์ที่ 5 ธ.ค. 2552 ที่ผ่านมา
อ.ไพบูลย์ จึงฝากให้นำมา post ไว้ครับ
อ่านกันดูนะครับ
(โดยพี่เด็กใหม่ไฟแรง : http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=40182)
####
วิถีชีวิต วิธีลงทุน แบบ VI
1. นักลงทุนเน้นคุณค่าต้องมีจิตอิสระ อิสระจากอารมณ์และอคติ หมายถึงพิจารณาการลงทุนตามเหตุและผลอย่างแท้จริง ไม่ใช้อารมณ์ และขจัดอคติ ความลำเอียงต่างๆ เช่น ความรักหุ้น ความชอบหุ้น ความเชื่อต่างๆที่ไม่จริง อคติเหล่านี้อยู่กับเราโดยไม่รู้ตัว
ส่งผลเสียต่อการลงทุน ยกตัวอย่างอคติบางอย่างนะครับ
- ซื้อหุ้นเพราะว่าเซียนก็ซื้อ
- ซื้อหุ้นเพราะว่าผู้บริหารสวย หล่อ
- ซื้อหุ้นตามกระแส เฮไหนเฮนั่น มีเพื่อนขาดทุนรู้สึกดีกว่ากำไรแต่ไม่มีเพื่อน
- หลีกเลี่ยงหุ้นบางตัวเพราะเป็นหุ้นบาป เป็นการใช้ความเชื่อมากกว่าการมองเป็นธุรกิจ
- หลีกเลี่ยงหุ้นบางตัวเพราะเราเคยขาดทุนตัวนี้มาก่อน ทำให้เข็ดหยาด ที่จริงการขาดทุนที่ผ่านมา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยกับการลงทุนในปัจจุบันเลย
เราจะขจัดอคติทางอารมณ์ต่างๆได้ เราต้องมีความคิดที่เป็นอิสระ ไม่ไหลไปตามกระแส นั่นทำให้เราต้องมีความรู้ที่อยู่บนพื้นฐานแบบเหตุและผล เราอาจจะไม่สามารถเป็น VI ที่ดีได้หากเรา…
- กลัวสังคมไม่ยอมรับ
- กลัวตกกระแส
- เชื่อคนอื่นมากกว่าเชื่อเหตุผลที่ถูกต้อง
- เชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง หูเบา
- เห่อหลินปิง
การลงทุน VI เป็นวิธีการครึ่งนึง อีกครึ่งนึงเป็นการควบคุมอารมณ์ให้คิดแบบเหตุและผล ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ยาก ปริญญาเอกหลายๆใบก็ช่วยไม่ได้ คล้ายๆกัน การลดความอ้วน ทุกคนรู้วิธีที่จะลดน้ำหนักกันทุกคน แต่ยังมีคนอ้วนเต็มบ้านเต็มเมือง
การลงทุนแบบ VI เป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่าย หลักการสมเหตุสมผลที่สุด แต่เวลาทำจริงๆกลับยาก เพราะมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องนั่นเอง เวป Thaivi มียูสเซอร์ 23,000 คน แต่มีคนที่แอคทีฟไม่เกิน 1 พันคน นี่คงเป็นเพราะ VI ต้องฝืนธรรมชาติ ต้องฝืนอารมณ์ของคนส่วนใหญ่
ดังนั้นเป็น VI ต้องเป็นคนส่วนน้อยครับ
2. แนวทางการลงทุน กับแนวทางการใช้ชีวิตต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่ว่าเราลงทุนตามแบบ VI แต่กลับใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า ไม่วางแผน อย่างนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะความคิดกับการปฎิบัติจะขัดแย้งกันตลอดเวลา ดังนั้นเป็น VI ต้องเป็นทั้งชีวิตและจิตใจหรือพูดได้ว่าเป็น VI ต้องเป็นโดยจิตวิญญานเท่านั้น
3. การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เสมือนการปลูกต้นไม้ เราได้นั่งพักใต้ร่มเงาต้นไม้ นั่นเพราะเราได้ปลูกมันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราลงทุนวันนี้เพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า การลงทุนแบบ VI ไม่มีทางลัด ถ้าอยากรวยเร็วๆให้เล่นหวย ให้เล่น TFEX แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงมหาศาล ต้นทุนส่วนหนึ่งการการลงทุนแบบ VI คือความอดทน อดทนจนกว่าผลของมหัศจรรย์การทบต้นจะส่งผล ในปีแรกๆ เงินลงทุนจะเติบโตไปอย่างช้าๆ เงิบๆ หงอยๆ จนถึงจุดหนึ่งในปีหลังๆ เงินลงทุนจะเติบโตแบบจรวด เงินเพิ่มจนเรานับเงินไม่ทัน ดังนั้นอนาคต(ที่ดี)เริ่มตั้งแต่วันวานครับ
4. ชีวิตตลาดหุ้นกับชีวิตคนก็คล้ายๆกัน ในแง่ที่ว่า เราไม่สามารถประมาทมันได้ วันดีคืนดีหุ้นอาจพุ่งทะลุฟ้า แต่วันร้ายๆหุ้นอาจตกฟลอร์ทั้งตลาด เหมือนชีวิตที่เหตุการณ์ร้ายและดีเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยไม่มีคำเตือน ดังนั้นไม่ว่าจะชีวิตจริงๆหรือชีวิตการลงทุน
จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท อย่ามองแต่ผลตอบแทนจนลืมความเสี่ยง เมื่อรู้ว่าเราอาจจะตายที่ไหน ก็อย่าไปที่นั่น ลงทุนอะไรที่มีโอกาสหมดตัว ก็อย่าไปลงทุนครับ
วิถีชีวิต วิธีลงทุน แบบ VI
ลูกอีสาน
สืบเนื่องจากกระทู้นี้
มีเงินน้อย เป็น vi ไม่ได้ จริงหรือไม่ : http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=25999
แม้ผมจะเห็นด้วยกับหลายๆท่าน ว่าเงินลงทุนมากน้อย ก็สามารถลงทุนตามแนวทาง vi ได้ แต่อีกด้านนึงผมคิดว่า แม้จะลงทุนแบบ vi เหมือนกัน แต่ระดับเงินลงทุนก็มีผลต่อเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ควรจะใช้
ครั้งหนึ่ง Warren Buffett เคยพูดว่า หากวันนี้มีเงินลงทุนแค่ 1 ล้านเหรียญ เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อปี ซึ่งผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะช่วงแรกๆที่วอร์เรนลงทุนผ่านห้างหุ้นส่วน เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้ประมาณ 30% ต่อปี ในทำนองเดียวกัน หาก ดร.นิเวศน์ มีเงินลงทุนวันนี้แค่ 1 ล้านบาท ผมคิดว่าแนวทางการเลือกหุ้นของท่าน อาจจะแตกต่างออกไป
เงินลงทุนน้อยๆ ตามนิยามง่ายๆของผม อาจจะเป็นเงินหมื่น เงินแสน และไม่เกิน 1 ล้านบาท ลำพังหากลงทุนโดยแนวทางอนุรักษ์นิยม อาจได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ซึ่งอาจจะเพียงพอและน่าพอใจหากเป็นพอร์ตการลงทุนขนาดกลางหรือใหญ่ แต่ผลตอบแทนระดับนี้ไม่อาจสร้างความแตกต่างในพอร์ตขนาดเล็ก
ดังนั้นหากเป็นพอร์ตการลงทุนระดับเล็กๆ ผมคิดว่าควรมีกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็นคือ
1. ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด
2. ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
2. ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ
1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน
1.1 เพิ่มรายได้ ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่ การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก) การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อนมาก ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา
1.2 การลดรายจ่าย รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คือการผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money เคยพูดไว้ว่า ตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคตคือ การซื้อรถ แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่าทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น
- แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลงทุน
- แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่ายน้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง
รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้ เช่น ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย) เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ
ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอาสบายไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอื่นๆ(อยากรวย) เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ ความจำเป็นของแต่ละคน
ประเด็นแรก การหากเงินมาลงทุนให้มากที่สุด ผมคงไม่เน้นมากครับ แต่จะไปเน้นในประเด็นที่สองคือทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
ประเด็นที่สอง ทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด
ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5 – 6 ปี ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน นอกจากนั้น แม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้ แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า
การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ที่จริงกลยุทธ์เหล่านี้ เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่ จะเป็นประโชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ
กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออกมีดังนี้ครับ
1. การทำการบ้าน(หุ้น) ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง – เป็นแรงบันดาลใจ ที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่ เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน วิธีทีดีที่สุด ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ
2. ไปหาปลาตรงที่มีปลา เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเราต้องการผลตอบแทนสูงๆ ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา ข้อสังเกตุของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำได้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่คอ่ยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง
หลักทรัพย์บางประเภท เช่นวอร์แรนต์ ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์ในทำนองเดียวกับที่เราประเมินมูลค่าหุ้น หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์ และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ
3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) หมายถึง มองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล กำไรพิเศษ นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์
หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
4. เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ ดังนั้น ในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม
การลงทุนให้เร็วที่สุด จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น
เคยมีผลการวิจัยศึกษาพบว่า นักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที
5. ผู้บริหารในฝัน เพราะผู้บริหารที่ดีจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติ ผู้บริหารที่นักลงทุนควรมองหาคือ มีความรู้ซึ้งในธุรกิจที่ทำ มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล มี passion ในงานที่ทำ มีความกระหายที่จะทำให้บริษัทเติบโตและที่สำคัญต้องมองผลประโยชน์ในมุมมองเดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย
ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนต่อไป
(เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่างนี้ สังเกตุจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)
6. ถือหุ้นน้อยตัว หากเรามีเงินทุนน้อย การกระจายการถือหุ้นหลายๆตัว อาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แต่ผลตอบแทนที่ได้จะหักล้างกันทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร การเลือกที่จะถือหุ้นน้อยตัวเช่น 2-5 ตัว จะทำให้เรามีความรอบคอบ พิถีพิถันที่จะเลือกถือหุ้นในกลุ่มที่ดีที่สุด ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้) และหากเราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ผลตอบแทนที่ได้รับจะคุ้มค่า
ตัวเลข 2-5 ตัวอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามระดับความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่เราจะลงทุน
7. คาดหวังผลลัพธ์ 100% เลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้กำไรสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง แม้หุ้นเหล่านี้อาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะศึกษาให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงนี้ แน่นอนว่าในการลงทุนทุกอย่าง เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ หากเราลงทุนในหุ้นที่แพ้ เราจะแพ้ หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสทั้งชนะและแพ้ เราจะมีโอกาสทั้งชนะและแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าเราศึกษามากน้อยแค่ไหน และบางทีก็เป็น โชคชะตา..
8. Growth always better ถ้าหากหลายท่านจำกันได้ กระทู้ของคุณริวกะเมื่อไม่นานมานี้ TVI Index ที่จริงอาจจะมีเพื่อนๆเอะใจว่า คำตอบการลงทุนที่เราค้นหามานาน อาจจะซ่อนอยู่ในกระทู้ที่ว่านี้ก็ได้ คำตอบที่ผมหมายถึงคือหากเราดูผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นหลายๆตัวที่ทำกำไรสูงๆ ในกระทู้นั้น สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ทุกบริษัทเป็นหุ้นเติบโตสูงหรือ growth stock ทั้งสิ้น คำอธิบายแบบเรียบง่ายคือราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำได้ ถ้ากำไรเพิ่ม ราคาหุ้นก็เพิ่ม คนที่ถือไว้ก็ได้กำไร นักลงทุนทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะมีหุ้นเติบโตสูงอยู่ในพอร์ตเสมอๆ
…เวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หากเราลงทุนในหุ้น Growth…
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนเบี้ยน้อยหอยน้อย คงมีแค่นี้ครับเท่าที่คิดออก ถ้าเพื่อนๆมีความเห็นอื่นจะเสริมก็จะเป็นประโยชน์ครับ และที่ต้องขอย้ำคือ กลยุทธ์ส่วนใหญ่ คงเหมาะสมกับนักลงทุนที่มีความรู้การลงทุนในระดับนึงแล้ว และจะไม่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ ถ้าถามว่ากลยุทธ์ข้อไหนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดคงเป็นข้อแรก ถ้าไม่มีข้อแรก ประเด็นอื่นๆก็จะไม่ตามมา
ผมและเพื่อนท่านอื่นๆอาจจะเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น แต่นักลงทุนต้องเดินทางด้วยตัวเองครับ ระหว่างทางอาจจะมีความยากลำบาก มีอุปสรรค มีเพียงทัศนคติที่ถูกต้อง ความตั้งใจ และกำลังใจ จะทำให้เราไปถึงจุดหมายครับ มีบทกวีบทหนึ่ง นำมาฝากเป็นกำลังใจด้วยครับ
เมื่อเริ่มสู้นั้น มันมืดยิ่งกว่ามืด…
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย…
พอมองเห็นลางลาง อยู่ทางปลาย…
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ…
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย…
พอมองเห็นลางลาง อยู่ทางปลาย…
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ…
…
‘กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ’
อนุรักษ์ บุญแสวง (พี่ลูกอิสาน แห่งเวบ Thaivi.com)
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นด้วยเงินทุนน้อยๆ : ลูกอีสาน
สืบเนื่องจากกระทู้นี้
มีเงินน้อย เป็น vi ไม่ได้ จริงหรือไม่ : http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=25999
แม้ผมจะเห็นด้วยกับหลายๆท่าน ว่าเงินลงทุนมากน้อย ก็สามารถลงทุนตามแนวทาง vi ได้ แต่อีกด้านนึงผมคิดว่า แม้จะลงทุนแบบ vi เหมือนกัน แต่ระดับเงินลงทุนก็มีผลต่อเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ควรจะใช้
ครั้งหนึ่ง Warren Buffett เคยพูดว่า หากวันนี้มีเงินลงทุนแค่ 1 ล้านเหรียญ เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อปี ซึ่งผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะช่วงแรกๆที่วอร์เรนลงทุนผ่านห้างหุ้นส่วน เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้ประมาณ 30% ต่อปี ในทำนองเดียวกัน หาก ดร.นิเวศน์ มีเงินลงทุนวันนี้แค่ 1 ล้านบาท ผมคิดว่าแนวทางการเลือกหุ้นของท่าน อาจจะแตกต่างออกไป
เงินลงทุนน้อยๆ ตามนิยามง่ายๆของผม อาจจะเป็นเงินหมื่น เงินแสน และไม่เกิน 1 ล้านบาท ลำพังหากลงทุนโดยแนวทางอนุรักษ์นิยม อาจได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ซึ่งอาจจะเพียงพอและน่าพอใจหากเป็นพอร์ตการลงทุนขนาดกลางหรือใหญ่ แต่ผลตอบแทนระดับนี้ไม่อาจสร้างความแตกต่างในพอร์ตขนาดเล็ก
ดังนั้นหากเป็นพอร์ตการลงทุนระดับเล็กๆ ผมคิดว่าควรมีกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็นคือ
1. ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด
2. ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
2. ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ
1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน
1.1 เพิ่มรายได้ ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่ การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก) การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อนมาก ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา
1.2 การลดรายจ่าย รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คือการผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money เคยพูดไว้ว่า ตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคตคือ การซื้อรถ แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่าทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น
- แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลงทุน
- แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่ายน้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง
รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้ เช่น ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย) เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ
ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอาสบายไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอื่นๆ(อยากรวย) เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ ความจำเป็นของแต่ละคน
ประเด็นแรก การหากเงินมาลงทุนให้มากที่สุด ผมคงไม่เน้นมากครับ แต่จะไปเน้นในประเด็นที่สองคือทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
ประเด็นที่สอง ทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด
ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5 – 6 ปี ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน นอกจากนั้น แม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้ แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า
การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ที่จริงกลยุทธ์เหล่านี้ เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่ จะเป็นประโชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ
กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออกมีดังนี้ครับ
1. การทำการบ้าน(หุ้น) ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง – เป็นแรงบันดาลใจ ที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่ เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน วิธีทีดีที่สุด ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ
2. ไปหาปลาตรงที่มีปลา เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเราต้องการผลตอบแทนสูงๆ ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา ข้อสังเกตุของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำได้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่คอ่ยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง
หลักทรัพย์บางประเภท เช่นวอร์แรนต์ ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์ในทำนองเดียวกับที่เราประเมินมูลค่าหุ้น หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์ และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ
3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) หมายถึง มองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล กำไรพิเศษ นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์
หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
4. เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ ดังนั้น ในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม
การลงทุนให้เร็วที่สุด จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น
เคยมีผลการวิจัยศึกษาพบว่า นักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที
5. ผู้บริหารในฝัน เพราะผู้บริหารที่ดีจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติ ผู้บริหารที่นักลงทุนควรมองหาคือ มีความรู้ซึ้งในธุรกิจที่ทำ มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล มี passion ในงานที่ทำ มีความกระหายที่จะทำให้บริษัทเติบโตและที่สำคัญต้องมองผลประโยชน์ในมุมมองเดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย
ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนต่อไป
(เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่างนี้ สังเกตุจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)
6. ถือหุ้นน้อยตัว หากเรามีเงินทุนน้อย การกระจายการถือหุ้นหลายๆตัว อาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แต่ผลตอบแทนที่ได้จะหักล้างกันทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร การเลือกที่จะถือหุ้นน้อยตัวเช่น 2-5 ตัว จะทำให้เรามีความรอบคอบ พิถีพิถันที่จะเลือกถือหุ้นในกลุ่มที่ดีที่สุด ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้) และหากเราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ผลตอบแทนที่ได้รับจะคุ้มค่า
ตัวเลข 2-5 ตัวอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามระดับความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่เราจะลงทุน
7. คาดหวังผลลัพธ์ 100% เลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้กำไรสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง แม้หุ้นเหล่านี้อาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะศึกษาให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงนี้ แน่นอนว่าในการลงทุนทุกอย่าง เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ หากเราลงทุนในหุ้นที่แพ้ เราจะแพ้ หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสทั้งชนะและแพ้ เราจะมีโอกาสทั้งชนะและแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าเราศึกษามากน้อยแค่ไหน และบางทีก็เป็น โชคชะตา..
8. Growth always better ถ้าหากหลายท่านจำกันได้ กระทู้ของคุณริวกะเมื่อไม่นานมานี้ TVI Index ที่จริงอาจจะมีเพื่อนๆเอะใจว่า คำตอบการลงทุนที่เราค้นหามานาน อาจจะซ่อนอยู่ในกระทู้ที่ว่านี้ก็ได้ คำตอบที่ผมหมายถึงคือหากเราดูผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นหลายๆตัวที่ทำกำไรสูงๆ ในกระทู้นั้น สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ทุกบริษัทเป็นหุ้นเติบโตสูงหรือ growth stock ทั้งสิ้น คำอธิบายแบบเรียบง่ายคือราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำได้ ถ้ากำไรเพิ่ม ราคาหุ้นก็เพิ่ม คนที่ถือไว้ก็ได้กำไร นักลงทุนทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะมีหุ้นเติบโตสูงอยู่ในพอร์ตเสมอๆ
…เวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หากเราลงทุนในหุ้น Growth…
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนเบี้ยน้อยหอยน้อย คงมีแค่นี้ครับเท่าที่คิดออก ถ้าเพื่อนๆมีความเห็นอื่นจะเสริมก็จะเป็นประโยชน์ครับ และที่ต้องขอย้ำคือ กลยุทธ์ส่วนใหญ่ คงเหมาะสมกับนักลงทุนที่มีความรู้การลงทุนในระดับนึงแล้ว และจะไม่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ ถ้าถามว่ากลยุทธ์ข้อไหนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดคงเป็นข้อแรก ถ้าไม่มีข้อแรก ประเด็นอื่นๆก็จะไม่ตามมา
ผมและเพื่อนท่านอื่นๆอาจจะเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น แต่นักลงทุนต้องเดินทางด้วยตัวเองครับ ระหว่างทางอาจจะมีความยากลำบาก มีอุปสรรค มีเพียงทัศนคติที่ถูกต้อง ความตั้งใจ และกำลังใจ จะทำให้เราไปถึงจุดหมายครับ มีบทกวีบทหนึ่ง นำมาฝากเป็นกำลังใจด้วยครับ
เมื่อเริ่มสู้นั้น มันมืดยิ่งกว่ามืด…
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย…
พอมองเห็นลางลาง อยู่ทางปลาย…
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ…
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย…
พอมองเห็นลางลาง อยู่ทางปลาย…
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ…
…
‘กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ’
อนุรักษ์ บุญแสวง (พี่ลูกอิสาน แห่งเวบ Thaivi.com)
Subscribe to:
Posts (Atom)