ปีเตอร์ ลินซ์ อดีตผู้จัดการกองทุนแม็คเจลลัน นักลง VI มือฉมังคนนึงของวงการ ได้แบ่งชนิดของหุ้นออกเป็น 6 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเด่นเฉพาะแตกต่างกันออกไปดังนี้
1. หุ้นโตช้า (Slow growers) เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ การเติบโตของกำไรจะสูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเล็กน้อย ประมาณ 2-4% ต่อปี ราคาหุ้นไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่มีปันผลดีและสม่ำเสมอ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปใช้ในการขยายธุรกิจได้อย่างไร เขาไม่ค่อยชอบลงทุนในหุ้นประเภทนี้มากนักเพราะดูเชื่องช้า อุ้ยอ้าย เนื่องจากเป็นบริษัทขนาดใหญ่
2. หุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts) บริษัทระดับพันล้าน ที่มีอัตราการเติบโตประมาณ 10-20% ต่อปี ซึ่งเขาจะมีหุ้นประเภทนี้เก็บไว้ในพอร์ตเสมอ เนื่องจากหุ้นแข็งแกร่งจะปกป้องเขาจากช่วงเศรษฐกิจถดถอย
3. หุ้นโตเร็ว (Fast growers) บริษัทเล็ก ๆ ที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมากประมาณ 20-25% ต่อปี ซึ่งเป็นหุ้นประเภทที่เขาชอบมากที่สุด เนื่องจากหุ้นประเภทนี้เติบโตเร็ว ถ้าคุณเลือกตัวถูก มันจะเป็นหุ้น 10 เด้ง อย่างไรก็ตาม หุ้นประเภทนี้มีความเสี่ยง เนื่องจากส่วนมากเป็นบริษัทที่เพิ่งเปิดกิจการ มีโอกาสผิดเป้าหมายได้มาก จึงควรเลือกหุ้นอย่างระวังโดยดูจากงบดุลที่ดี และมีกำไรที่เติบโตมั่นคง4. หุ้นวัฎจักร (Cyclicals) บริษัทที่กำไรขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ หุ้นประเภทนี้ไม่ควรถือผ่านช่วงสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อีกทั้งหุ้นพวกนี้แฝงอยู่ในหุ้นแข็งแกร่ง จะต้องแยกให้ออก สำคัญคืออ่านจังหวะเวลา คอยสังเกตสัญญาณของวัฏจักร ซึ่งถ้าคุณอยู่ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ คุณก็ได้เปรียบคนอื่น หากจับจังหวะถูกก็มีโอกาสจะทำกำไรได้หลายเด้ง
5. หุ้นฟื้นตัว (Turnarounds) บริษัทที่ประสบปัญหา แต่มีสัญญาณแห่งการฟื้นตัวที่ชัดเจน เป็นหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้มาก
6. หุ้นทรัพย์สินมาก (Asset plays) บริษัทที่นั่งทับสินทรัพย์จำนวนมาก โดยที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้าม เช่น ที่ดินที่มีอยู่อาจมีมูลค่าสูงมากหรือบริษัทมีเงินสดอยู่มาก เมื่อเทียบกับราคาหุ้น หุ้นประเภทนี้ต้องใช้ความอดทนสูงเพราะต้องถือจนกว่าตลาดหรือนักลงทุนคนอื่นจะเห็น
การแบ่งหุ้นออกเป็นประเภท ๆ นั้นจะช่วยให้คุณมองเห็นว่าคุณกำลังลงทุนกับอะไร ความเสี่ยงเป็นอย่างไร หลักการคือ เลือกหุ้นที่คุณรู้จัก คัดกรองหุ้นต่าง ๆ จากอัตราส่วนทางการเงิน จากนั้นแบ่งประเภทของหุ้น ทำการวิเคราะห์ ประเมินหามูลค่าของกิจการ แล้วจัดพอร์ตการลงทุนของคุณให้เหมาะสม
หากสนใจเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้เพิ่มเติ่มจากหนังสือ One Up On Wall Street ครับ
Doctor K.
ที่มา: Settrade Blog ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปัญหาในการจัดกลุ่มหุ้น
ที่มา: Settrade Blog ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปัญหาในการจัดกลุ่มหุ้น
การเลือกหาหุ้นลงทุนนั้น วิธีที่ดีมากและได้ผลในทางปฏิบัติแบบหนึ่งก็คือ การแยกแยะหุ้นออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามแบบของ ปีเตอร์ ลินช์ ซึ่งแยกหุ้นออกเป็น 6 กลุ่มด้วยกัน แต่ละกลุ่มนั้น เมื่อกำหนดได้แล้ว เราก็สามารถตัดสินใจลงทุนได้ นอกจากนั้น เมื่อลงทุนไปแล้ว เราก็สามารถกำหนดเวลาหรือผลตอบแทนที่เราจะคาดหวังก่อนที่จะทำการขายหุ้นทิ้งได้ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาว่าหุ้นอยู่ในกลุ่มไหนนั้น บางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งเราอาจจะจัดผิดและทำให้การลงทุนของเราผิดพลาด มาดูกันว่าหุ้นแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไรและโอกาสที่จะผิดพลาดอยู่ตรงไหน
กลุ่มแรกคือหุ้นกลุ่มโตช้า นี่คือหุ้นที่มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่เก่าแก่ ในอดีตอาจจะเคยเป็นอุตสาหกรรมที่โตเร็วมาก่อน แต่ปัจจุบันกลายเป็นอุตสาหกรรมที่โตช้าและอาจจะเริ่มหดตัวลง เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอหรือผลิตภัณฑ์การเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร หุ้นพวกนี้จะเติบโตพอ ๆ กับการเติบโตของเศรษฐกิจเช่นประมาณปีละไม่เกิน 5% การพิจารณาว่าหุ้นตัวไหนเป็นกิจการหรือหุ้นที่เติบโตช้านั้นไม่ยากนัก เพราะยอดขายมักจะเพิ่มขึ้นช้า กำไรก็อาจจะทรง ๆ หรือเพิ่มขึ้นไม่มากในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา บริษัทที่โตช้าหลายบริษัทอาจจะมีฐานะทางการเงินที่ดีไม่มีหนี้สิน มีกำไรต่อเนื่อง มีการจ่ายปันผลที่ดี ค่า PE และ PB อาจจะต่ำมาก เช่น PE 7 เท่าและ PB 0.7 เท่า ในขณะที่เงินปันผลสูงทีเดียวเช่นอาจจะ 7-8 หรือ 10% ต่อปี มองในแง่ของ Value Investor แล้ว หุ้นแบบนี้เข้าข่ายที่จะซื้อลงทุนเพราะมีราคาถูกมาก อย่างไรก็ตาม ผมไม่แนะนำให้ซื้อ เพราะในอนาคต กำไรอาจจะถดถอยลงและราคาหุ้นก็มักจะไม่ไปไหน ปันผลที่ได้ก็ไม่คุ้ม โดยเฉพาะถ้ามันต้องลดลงในอนาคต
กลุ่มที่สองคือหุ้นแข็งแกร่ง นี่คือหุ้นขนาดใหญ่ อยู่มานาน มีกำไรค่อนข้างสม่ำเสมอ และมีการเติบโตเหนือกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจบ้างเช่นอาจจะประมาณปีละ 7-10% โดยเฉลี่ย เป็นกิจการที่มีความแข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักและยอมรับถึงความยิ่งใหญ่ในสายตาของคนทั่วไปมาช้านาน หุ้นเหล่านี้ก็เช่นหุ้นของธนาคารขนาดใหญ่ในประเทศ หุ้นของกิจการพลังงานขนาดใหญ่ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หุ้นของกิจการวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ เป็นต้น หุ้นแข็งแกร่งนั้น จุดเด่นก็คือ ยอดขายและกำไรมักจะไม่ผันผวนนักและเติบโตไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่เร็วนัก และสามารถทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจได้ดีพอสมควร ในบางครั้ง นักลงทุนก็อาจจะเข้าใจผิดได้ว่ากิจการปิโตรเคมีขนาดใหญ่ทุกแห่งนั้นเป็นหุ้นแข็งแกร่ง แต่จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่ เพราะผลประกอบการของกิจการปิโตรเคมีจำนวนมากนั้นขึ้น ๆ ลง ๆ ตามราคาของผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้มันไม่ใช่หุ้นที่แข็งแกร่งแต่เป็นหุ้นวัฏจักร ในกรณีที่เรากำหนดได้ว่าหุ้นเป็นหุ้นที่แข็งแกร่งแล้ว เราก็ลงทุนได้ เพราะความเสี่ยงในการลงทุนจะต่ำ แต่หุ้นในกลุ่มนี้เรามักจะหวังผลได้ไม่มากนัก ถ้าได้กำไร 30-50% ในช่วงภายในเวลา 2-3 ปี ก็ควรพิจารณาขายได้
กลุ่มที่สามคือหุ้นโตเร็ว นี่คือหุ้นของกิจการที่โตเร็ว ปีละเฉลี่ย 15-20% ขึ้นไปอย่างน้อยใน 5 ปีข้างหน้า การเติบโตนั้นโตขึ้นทั้งยอดขายและกำไรและเป็นการโตจากภายในธุรกิจเองไม่ได้โตจากการซื้อกิจการ หรือถ้าเป็นการซื้อกิจการก็ต้องเป็นกิจการแบบเดียวกัน หุ้นโตเร็วนั้น เป็นหุ้นที่มักมีความเข้าใจผิดหรือจัดหุ้นผิดบ่อยนั่นคือ นักลงทุนอาจจะจัดหุ้นวัฏจักรหรือหุ้นฟื้นตัวเป็นหุ้นโตเร็วซึ่งทำให้การวิเคราะห์และให้มูลค่าหุ้นผิดเพื้ยนจากที่ควรจะเป็น ประเด็นสำคัญก็คือ ถ้าเป็นหุ้นโตเร็วแล้ว การเติบโตจะต้องเป็นทั้งรายได้ และกำไร และเมื่อมันโตขึ้นแล้วจะต้องไม่ลดลงในอนาคต ผมเคยเขียนไว้ว่าจะต้องเป็นการโตแบบ “สูง” ไม่ใช่โตแบบ “อ้วน” นอกจากนั้น การเติบโตจะต้องไม่เป็นการ “ซื้อ” มาด้วยต้นทุนที่สูงเกินไป นั่นหมายความว่าการโตนั้นไม่ควรจะต้องลงทุนมากเกินไป
ถ้าเราเจอหุ้นที่โตเร็วจริง การลงทุนซื้อหุ้นโดยเฉพาะในราคาที่ไม่แพงเกินไปเช่นที่ PE ไม่เกิน 15-20 เท่า เราก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีมาก และหุ้นโตเร็วนั้น เราสามารถถือยาวเพื่อทำกำไรได้นานมากตราบที่มันยังเติบโตดีอยู่ หุ้นโตเร็วนั้น บางทีเราลืมเรื่องการขายหุ้นไปได้เลย และผลตอบแทนนั้นอาจจะเป็นหลายเท่าหรือหลายสิบเท่าก็เป็นได้ในเวลาหลาย ๆ ปี
กลุ่มที่สี่คือหุ้นวัฏจักร นี่คือหุ้นของกิจการที่มียอดขายขึ้น ๆ ลง ๆ ตามวัฏจักรของเศรษฐกิจหรือตามวัฏจักรของอุตสาหกรรม หุ้นที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่นั้นมักเป็นหุ้นวัฏจักรซึ่งทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยจำนวนมากเป็นหุ้นวัฏจักร ประเด็นก็คือ ทั้งยอดขายและกำไรของหุ้นมักจะไม่แน่นอน ในช่วง “ขาขึ้น” ยอดขายและกำไร ก็จะปรับตัวขึ้น บางทีหลายปีจนทำให้เรานึกไปว่าเป็นหุ้นโตเร็ว แต่ในช่วง “ขาลง” ยอดขายและกำไรก็ลดลง บางครั้งถ้าเราดูตัวเลขยอดขายและกำไรย้อนหลังไปยาวเป็น 10 ปีหรือมากกว่านั้น ก็อาจจะเห็น “วัฏจักร” ที่ชัดเจนขึ้น หุ้นบริษัทขายบ้านและคอนโดมิเนียมหลายบริษัทนั้น นักลงทุนอาจจะวิเคราะห์และสรุปว่าเป็นหุ้นโตเร็วเพราะยอดขายและกำไรอาจจะโตอย่างโดดเด่นมา 4-5 ปี แต่ถ้าถามว่าอีก 5 ปีข้างหน้าบริษัทนั้นจะยังมียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นหรือใกล้เคียงกับปัจจุบันไหม? ผมเองก็ไม่แน่ใจ โอกาสเป็นไปได้ว่ายอดขายและกำไรน้อยกว่านั้นเพราะการขายบ้านและคอนโดนั้นต้อง “เริ่มต้นใหม่” กับ “ลูกค้ารายใหม่” ทุกปี ซึ่งผมรู้สึกว่ามีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้น สำหรับผมจะไม่จัดให้บริษัทในกลุ่มนี้เป็นหุ้นโตเร็ว
หุ้นวัฏจักรนั้น เนื่องจากการโตขึ้นของกำไรไม่แน่นอนและอาจจะตกกลับลงไปอีกในอนาคต ดังนั้น ความเสี่ยงจึงสูงและการกำหนดค่า PE ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนก็ทำได้ยาก ว่าที่จริง ปีเตอร์ ลินช์ บอกว่าเราควรซื้อในยามที่ PE สูงและขายตอนที่ PE ต่ำ การเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แล้วควรมองไปที่วัฏจักรมากกว่าตัวเลขความถูกความแพงของหุ้น และถ้าเรารู้ว่ากำลังเป็นขาขึ้น การลงทุนก็มักจะทำกำไรให้เรามหาศาล บางทียิ่งกว่าหุ้นโตเร็ว อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งหุ้นจะลง ดังนั้น เราจะต้องขายหุ้นก่อนที่วัฏจักรจะเริ่มเปลี่ยนเป็นขาลง
กลุ่มที่ห้าคือหุ้นฟื้นตัว นี่คือหุ้นที่ใกล้จะ “เจ๊ง” หรือ เจ๊งแล้วกำลังจะ “ปรับโครงสร้าง” ได้สำเร็จ หุ้นฟื้นตัวนั้น มีความเสี่ยงว่าถ้าไม่ฟื้น การลงทุนก็เป็น “หายนะ” การเล่นหุ้นฟื้นตัวนั้นจะต้องวิเคราะห์ให้ออกว่ามีคนต้องการฟื้นบริษัทจริงและเขามีศักยภาพที่จะทำ ถ้าสำเร็จ ผลตอบแทนก็มักจะสูงลิ่ว
กลุ่มสุดท้ายก็คือ หุ้นทรัพย์สินมาก นี่คือหุ้นที่มีทรัพย์สินโดยเฉพาะที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และ/หรือหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาก และมูลค่าตลาดเมื่อหักหนี้แล้ว สูงกว่ามูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดของบริษัท ดังนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว ถ้าเราซื้อหุ้นทั้งหมดเป็นเจ้าของคนเดียวแล้วตัดทรัพย์สินไปขาย เราก็จะได้กำไรอย่างงดงาม แต่ในความเป็นจริงเราทำไม่ได้ การลงทุนในหุ้นทรัพย์สินมากนั้น โอกาสที่จะ “ปลดปล่อย” มูลค่าของทรัพย์สินมีน้อย ดังนั้น สำหรับผมแล้ว หุ้นเหล่านี้ส่วนมากไม่น่าสนใจ ยกเว้นว่าจะมีปัจจัยประกอบอย่างอื่น
No comments:
Post a Comment