Tuesday, May 29, 2012

รียนกราฟเทคนิคง่ายนิดเดียว ตอนที่12:ตัวเลขแนวรับแนวต้านมหัศจรรย์Fibonacci ซื้อได้ขายให้เป็น ไม่ขายหมูไปซื้อหมา ทำยังงี้ by ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์


ตอนนี้มาว่ากันต่อจากตอนที่แล้วคือ เมื่ื้อเห็นราคาหุ้นลงจบแล้ว หากเราซื้อแล้วจะไปขายตรงไหนจึงจะได้ราคา ไม่เป็นขายหมู แล้วไปซื้อหมา 
ยกตัวอย่างSETรอบล่าสุดลงไปที่845แล้วเริ่มทำฐาน หรือจุดต่ำยกสูงขึ้นแถว900 เราเริ่มเข้าซื้อตรงนี้(เพราะคาดว่าจะจบขาลงแล้ว ให้ย้่อนกลับไปอ่านบทที่1) ปัญหาคือจะไปขายเท่าไหร่ อย่าเดาแบบแมงเม่า หรือมวยวัด ให้นำfibonacciมาคำนวณหา โดยตีจากราคาbottom 843 แล้วคำนวณจากยอดพีครอบก่อน1148 -ก็จะได้ความว่า เป้าแรกเขต1ใน3 หรือ33.33%-38.20%=945/960จุด เราก็ตั้งเป้าหมายมันแถวนี้แหละ โดยทั่วไปการขึ้นของหุ้นยกแรกมักไม่ค่อยผ่าน อาจมีปรับฐานสลับ แต่หากมันผ่านขึ้นไปเขตนี้จะมาทำหน้าที่เป็นแนวรับ หรือจุดเข้าซื้อ -ด่านต่อไปก็จะไปเขต50% ในที่นี้คืิอ995 โดยทั่วไป เราก็จะเข้าซื้อหุ้นตอนตกมาเขต1ใน3คือ960-945แล้วไปรอขายเขต50%คือ995ใมภาพนี้ -และหากมันชนะด่าน50%ก็จะไปเขต2ใน3คือ61.80%-66.66%ในภาพนี้คืิอ1031-1046จุด ก็ไปขายต่อตรงนี้ -แต่หากผ่านเขต2ใน3นี้ไปได้ ให้สันนิษฐานว่า รอบใหม่กำลังจะมา จะมีโอกาสไปชนะพีคเก่าที่เคยทำไว้ (ในที่นี้พีคเก่าคือ1148จุด) ซึ่งในบทเรียนตอนหน้า ผมจะพาเรียนว่าหา่กผ่านพีคเก่าแล้วจะคำนวณอย่างไร?
ยกตัวอย่างหุ้นรายตัวมั่ง ในภาพนี้คือTOPทำพีคไว้87.25ลงไปbottom46.75 เริ่มทำฐานยกสูงตั้งแต่เขต48 เริ่มมีนิวไฮแถว55 ตามสูตรคือจบขาลง เราก็เข้าซื้อ(ให้อ่านบทที่1ทวนด้วย จะได้เข้าใจ ไม่ใช่ซี้ซั้วอยากซื้อตรงไหนก็ได้ ต้องแน่ใจว่าจบขาลงแล้ว)สมมุติซื้อได้ต้นทุน50บาท จะไปขายเท่าไหร่ -เมื่อใช้fibonacci numberวัดก็คือ ด่านแรกๆแถว60-62 พอผ่านจะไปด่านตรงกลางคือ67 ผ่านอีกมาด่านสามคือเขต61.80-66.66%=71.75-73.75 -อย่างตอนนี้ผ่านด่านสามขึ้นไปได้แล้ว หากอ่อนลงก็ตรงแถว61.80-66.66%ก็จะทำหน้าที่เป็นแนวรับ และหากผ่านด่านนี้ได้ ก็คสวรสันนิษฐานว่ารอบใหม่จะนิวไฮเกินพีคเก่า87.25บาท -ตอนผมพาลูกค้าซื้อแถว47-48บาท บอกจะมาเป้าแรก60-62 เป้าใหญ่70-75 คนไม่รู้เรื่องก็บอกเว่อร์แล้ว จะขึ้นไปขนาดนั้นได้ไง ก็เพราะคุณใช้ความรู้สึกวัด แต่ผมใช้fibonacciวัดไงครับ
BANPUวัดจากฐาน494และพีค868 จะได้เป้าแรกเขต61.80%=636 ขึ้นมารอบแรก640แล้วลง พอรอบสองขึ้นไปเป้าตรงกลางคำนวณไว้681ขึ้นไปจริืง688 พอลงมารอบล่าสุดเขตเส้นล่างสุดมาทำหน้าที่แนวรับ รอบใหม่ก็ต้องลุ้นผ่านเส้นตรงกลาง ก็จะไป61.80%-66.66%=725-743บาท(โห ขนาดนั้นเลยเหรอครับ อาจจารย์ ฟังแล้วไม่น่าเป็นไปได้?!!!...ต่อไปไม่ต้องอุทานกันแบบนี้ หลังจากเรียนจบแล้ว)
การบ้าน หากDTACจบแนวโน้มซึมไซด์เวย์ออกข้่างและจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น จะมีเป้าหมายขึ้นไปเท่าไหร่ ท่านจะใช้กลยุทธ์การลงทุนอย่างไร จงอธิบาย...
ท่านจะใช้กลยุทธ์ลงทุนหุ้นตัวนี้อย่างไร และคาดการณ์เป้าหมายขึ้นไปเท่าไหร่
ทำไมตอนที่อาจารย์ณัฐวุฒิพาซื้อหุ้นตัวนี้จึงบอกว่าจะมีนิวไฮเกิน37.50 โดยมีเป้าแรก42.50 เป้าถัดไป47-49บาท ข้อก.เพราะอาจารย์ณัฐวุฒิเลี้่ยงกุมารทอง ข้อข.อาจารย์ณัฐวุฒิมีพรายกระซิบ ข้อค.อาจารย์ณัฐวุฒิมีอินไซด์ เป็นเจ้ามือ ข้อง.เพราะอาจารย์ณัฐวุฒิเดินตามรอยที่ปรมาจารย์ไฟโบนาชชี่สอนไว้เมื่อ 800 ปีก่อน และใครๆก็เรียนรู้ได้ ไม่ต้องเก่งมาจากไหนหรอก
เดี๋ยวตอนหน้าไปว่าด้วยเรื่องการวัดเป้าหมายหากหุ้นผ่านพีคเก่า หรือหลุดฐานเก่าลงไปครับ 

เรียนกราฟเทคนิคง่ายนิดเดียว(บทที่13):การใช้ตัวเลขมหัศจรรย์วัดเป้าหมายขึ้น หรือตกของหุ้นอย่างง่าย by ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์


บทนี้ว่าด้วยการใช้fibonacci numberวัดเป้าหมายหุ้นขึ้นหรือตก เวลาที่ราคาทำจุดต่ำใหม่กว่าฐานเดิม หรือทำจุดสูงใหม่กว่าพีคเก่าครับ ด้วยการใช้กระจกส่องหาเป้าหมาย

ตัวเลขอนุกรมก็ตามเดิมครับ คือ1ใน3ก็คือ33.33/38.2 ถัดไป50.00 และเขต2ใน3คือ61.80/66.66% ไปดูตัวอย่างกัน
ตัวอย่างแรกเป็นกรณีหุ้นขาลงรอบปี2011 เมื่อร่วงลงหลุดฐานbottomเดิมเขต998 เมื่อเรานำกระจกส่องทางลงก็จะพบว่ามันมีเป้าหมายลงดังนี้ -เขต1ใน3 หรือ33.33/38.20%=941,948 -ด่านตรงกลาง50.00%=923 -ด่าน2ใน3หรือ66.66-61.80%=905,898 -ด่าน100%=848 เมื่อเราดูตามนี้ ก็จะได้วางแผนว่าหากหลุดฐานเก่า998 มันจะลงไปอย่างน้อยก็แถว940-950 หรือลงตั้ง50-60จุด หากเยอะๆลงไป848หรือราวๆ150จุด เราจะได้กล้า"ขายทำขาดทุน"หรือขายเอาทุน แล้วไปรอว่าจะลงไปสุดเท่าไหร่กันแน่ จะได้ซื้อคืน(โดยให้ดูบทเรียนที่2เรื่องขาลงประกอบ จนกว่าจะยืนยันจบขาลงนั่นแหละค่อยน่าเข้า) ปรากฎลงมารอบนี้843 หรือลงมาเต็มๆ100%ของช่วงความกว้างเลยทีเดียวภาพที่2เป็นหุ้นไทยรอบล่าสุดเมื่อผ่านพีคเก่า1148ได้ คาดว่าจะขึ้นไปเขต33.33-38.20%=1250-1265 ด่าน50%=1300 ด่าน66.66-61.80%=1335-1350 ส่วน100%=1450จุด อย่างไรก็ดีหากขึ้นไปด่านแรกมักจะไปไม่รอดโดนขายก่อน จึงควรประเมินว่าน่าไปไม่เกิน1250+/-เอาไว้เป็นเป้าหมายขายรอบหน้า(และให้ไปดูประกอบเรื่องคลื่นจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น)ภาพที่3การวัดเป้าหมายตกของTHAIเที่ยวก่อน วัดได้ว่าจะลงมา100%=17.80บาท ลงมาจริง17.60บาทแล้วฟื้นตัวต่อเนื่องการใช้ตัวเลขมหัศจรรย์วัดเป้าหมายการขึ้นของTHREรอบล่าสุด เมื่อผ่านพีคเก่า3.88จะไปเขตเป้าหมายแรก33.33-38.20%=4.18-4.22บาท ตามสูตรเมื่อชนครั้งแรกจะตกก่อน ตกลงมาก็จะมีเขต3.88ที่เคยเป็นพีคเก่าทำหน้าที่เป็นฐานรับใหม่ ขึ้นงวดหน้าก็จะได้ลุ้นผ่านด่าน4.20ทำนิวไฮไปเขต4.32หรือ4.42-4.48หรือ100%=4.76บาท การวัดเป้าหมายขึ้นหรือลงด้วยfibonacci จะทำให้ท่านซื้อหุ้นอย่างมีเป้าหมาย ไม่ไปซื้อผิดจังหวะที่แนวต้าน ไม่ไปขายหมูที่แนวรับครับ

Saturday, May 26, 2012

กิติชัย เตชะงามเลิศ มองตลาดหุ้นปีนี้ 'เล่นง่าย-ผันผวนน้อย'



วันที่ 31 มกราคม 2555 09:00

กิติชัย เตชะงามเลิศ มองตลาดหุ้นปีนี้ 'เล่นง่าย-ผันผวนน้อย'

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เซียนหุ้นร้อยล้าน 'กิติชัย เตชะงามเลิศ' ประเมินหลังเดือนกุมภาพันธ์ SET มีโอกาสปรับตัวแรงที่ 950-980 จุด ก่อนจะค่อยๆ Sideway Up

โดยจุดสูงสุดของปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 1,200 จุด บวกลบ 

 กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนรายใหญ่เจ้าของพอร์ตลงทุน "หลายร้อยล้านบาท" มองว่า ในปี 2555 ตลาดหุ้นน่าจะเล่นง่ายขึ้น ความผันผวนจะน้อยกว่าปี 2554 โดยในปีที่ผ่านมา SET Index วิ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 1,145.37 จุด แล้วลงมาต่ำสุด 843.69 จุด มีความผันผวนถึง 301.38 จุด

 "ผมคาดว่าปีนี้เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ SET น่าจะทำจุดสูงสุดประมาณ 1,080-1,122 จุด (1,122 จุด เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง) ช่วงที่หุ้นขึ้นน่าจะค่อยๆ ขายหุ้นลดพอร์ต ดัชนีคงจะปรับตัวแรงๆ ลงมาที่ 950-980 จุด จากการคาดการณ์กำไรที่จะแย่ในไตรมาส 4 ปี 2554 อย่าลืมนะครับว่า SET วิ่งมาจาก 843.69 จุดขึ้นมากว่า 1,060 จุด ยังไม่มีการปรับตัวจริงๆ จังๆ เลย ทำให้ฐานที่ปรับตัวขึ้นไปไม่แข็งแรง"

 เขายังมองว่า หลังจากดัชนีปรับฐานเรียบร้อยแล้วตลาดน่าจะค่อยๆ Sideway Up (ค่อยๆ ขึ้น) โดยจุดสูงสุดของปีนี้ คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 1,200 จุด บวกลบ แต่มีความน่าจะเป็นที่ดัชนีจะขึ้นสูงกว่า 1,200 จุด เพราะว่าตั้งแต่ไตรมาส 2 เศรษฐกิจไทยจะดีมากเมื่อเทียบปีต่อปี หรือไตรมาสต่อไตรมาส จากความต้องการที่อัดอั้นจากการหยุดผลิตของอุตสาหกรรมรถยนต์  ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ จะเริ่มเห็นการบูรณะซ่อมแซมสร้างใหม่ของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และบ้านเรือนของประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม 

 สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้น GDP ของไทยให้เติบโต สังเกตจากญี่ปุ่นที่ประสบภัยสึนามิเมื่อเดือนมีนาคม 2554 หลังจากนั้นไตรมาส 3 ญี่ปุ่นมี GDP เติบโต 5.7% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงมาก จากปกติจะโตเพียง 1-2% เท่านั้น ซึ่งประเทศไทยน้ำท่วมหนักในไตรมาส 4 ปี 2554  ดังนั้นเชื่อได้เลยว่าไตรมาสที่ 2 ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะโตกระฉูดแน่ และไตรมาส 4 ปี 2555 ก็จะเป็นอีกไตรมาสหนึ่งถ้าเทียบปีต่อปีที่จะโตมาก เพราะว่าฐานไตรมาส 4 ปี 2554 เราติดลบ และโครงการป้องกันน้ำท่วมน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้

 ประกอบกับไตรมาส 4 ปีนี้สหรัฐอเมริกาจะเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ปกติปีที่จะเลือกตั้งเศรษฐกิจของอเมริกาจะดี ขณะนี้ก็เริ่มเห็นตัวเลขคนว่างงานที่ลดลงและการคาดการณ์ยอดค้าปลีกของอุตสาหกรรมค้าปลีกของอเมริกา เริ่มมีมุมมองที่ดีขึ้น

 "ผมเชื่อว่ารัฐบาลนายบารัก โอบามา ต้องพยายามทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเขาอยากกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นจริงก็จะไปหักล้างกับปัญหาความวุ่นวายทางเศรษฐกิจของยุโรป ซึ่งผมยังเชื่อว่าเศรษฐกิจยุโรปไม่น่าจะเลวร้ายไปกว่านี้มาก ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น GDP ของจีน ที่เพิ่งประกาศออกมาก็ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และปีนี้ มีแนวโน้มที่จีนจะมีนโยบายผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ หลังจากมีมาตรการเข้มงวดมานาน เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงแล้ว"

 เซียนหุ้นรายใหญ่วิเคราะห์ต่อว่า ถ้าเครื่องจักรใหญ่ของโลก 2 ตัว คือ สหรัฐอเมริกา และจีน เริ่มทำงานตลาดหุ้นที่กังวลว่าจะปรับตัวลงแรงๆ ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการลงทุนในปี 2555 น่าจะง่ายกว่าปี 2554 มาก จากความผันผวนที่น้อยลงแล้ว ยังมองตลาดเป็นขาขึ้นเพียงแต่อาจปรับตัวแรงในช่วงต้นปี

 นอกจากนี้การขึ้นเงินเดือนพนักงานที่จบปริญญาตรีเป็นขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน และขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันในบางจังหวัดจะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้มีรายได้มากขึ้น การจับจ่ายใช้สอยย่อมมากขึ้นตามไปด้วย และนโยบายบ้านหลังแรกและรถยนต์คันแรก จะไปกระตุ้นความต้องการรถและบ้านมากขึ้น

 สุดท้ายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เป็น 23% ในปีนี้ และเหลือ 20% ในปีหน้า จะทำให้กำไรของบริษัทต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ค่า P/E ของบริษัทจดทะเบียนลดต่ำลงโดยอัตโนมัติ แล้วปีนี้จะไม่ซื้อหุ้นไทยได้อย่างไร

 สำหรับหุ้นรายตัวกิติชัยวิเคราะห์ให้ฟังว่า ส่วนตัวชอบหุ้นกรุงเทพประกันชีวิต (BLA) และหุ้นไทยพาณิชย์ประกันชีวิต (SCBLIF) เหตุผลเพราะหุ้นกลุ่มประกันชีวิตรัฐบาลให้การส่งเสริม และทั้ง 2 ตัวนี้มีอัตราการเติบโตสูง แต่ค่า P/E ยังต่ำมาก นอกจากนี้ยังชอบหุ้น สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ในปี 2556 คาดว่าจะเป็นปีทองของ SSI เพราะว่าบริษัทที่ไปลงทุนไว้ที่ประเทศอังกฤษจะผลิตได้เต็มกำลังการผลิต เป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ที่น่าสนใจ จากข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้น SSI ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 พบว่าเซียนหุ้นรายนี้ถือหุ้น SSI อยู่จำนวน  125 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.69%

 นอกจากนี้ ยังมีหุ้นอีก 2 ตัวที่กิติชัยแนะนำ คือ หุ้น ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด (ASIAN) เงินบาทที่อ่อนค่าทำให้รายได้และกำไรของ ASIAN จะดีเพราะว่าสินค้าส่วนใหญ่เป็น Local Content ปีนี้ยอดส่งออกกุ้งของอุตสาหกรรมโดยรวมจะเติบโตได้ดี ตัวสุดท้ายหุ้น อาร์เอส (RS) กิติชัยให้เหตุผลที่ชอบหุ้นตัวนี้ว่า ชอบธุรกิจทีวีดาวเทียมที่อาร์เอสเป็นเจ้าของคอนเทนท์ที่ดี และตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้คงเห็นการฟื้นตัวของรายได้และกำไรที่ดีขึ้น  ซึ่งจากข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้น RS ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 พบว่ากิติชัยถือหุ้น RS อยู่จำนวน 13 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.47%







นักลงทุนรายใหญ่ 'กิติชัย เตชะงามเลิศ' ลอกคราบหุ้นประกันชีวิต วิเคราะห์ SCBLIF ปะทะ BLA เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ทำไม! เขาถึงเชื่อว่า SCBLIF เหนือกว่าด้วยประการทั้งปวง

ติดค้างกันเอาไว้สำหรับบทสรุปของ กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนรายใหญ่เจ้าของพอร์ตหุ้น "หลายร้อยล้านบาท" ที่ส่วนตัวเขาเชื่อว่าหุ้น ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต (SCBLIF) ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (SCNYL) คือหุ้นที่ "ดีที่สุดในตลาดหลักทรัพย์" ถ้าตัดเรื่องสภาพคล่องในการซื้อขายออกไป
 กิติชัยเป็นผู้หนึ่งที่ถือหุ้น SCBLIF มายาวนาน 4-5 ปี เขาเคยติดอันดับผู้ถือหุ้น "อันดับ 8" ของบริษัทจำนวน 201,100 หุ้น มีต้นทุนหุ้นละประมาณ 70 บาท (ปัจจุบัน 462 บาท) ลงทุนตั้งแต่ยังเป็น บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (SCNYL) ก่อนที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จะเข้าไปซื้อหุ้นคืนทั้งหมดจาก นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต บริษัทประกันชีวิตยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และปัจจุบัน SCB เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทประกันชีวิตแห่งนี้ 94.66% หุ้นตัวนี้มี "จุดด้อย" เพียงอย่างเดียวคือมี "สภาพคล่องการซื้อขายต่ำ"
 
เสน่ห์ของธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย
 เซียนหุ้นรายใหญ่เริ่มต้นบทวิเคราะห์จากภาพใหญ่ของธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย เขาแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 4 ประเด็นด้วยกัน
 หนึ่ง..คนไทยที่ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตมีเพียง 28% ขณะที่คนญี่ปุ่นถือกรมธรรม์มีมากกว่า 100% (บางคนถือมากกว่า 1 กรมธรรม์) จะเห็นได้ว่าโอกาสของการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยยังมีอีกสูงมาก
 สอง..สังคมไทยเข้าสู่สังคม "ผู้สูงอายุ" เมื่อปี 2551 มีมากกว่า 10% ของประชากรที่อายุเกิน 60 ปี และจะเข้าสู่สังคม "ผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ" ในปี 2566 มีมากกว่า 20% ของประชากรที่อายุเกิน 60 ปี คืออีก 12 ปีข้างหน้า ดังนั้นธุรกิจประกันชีวิตจะน่าสนใจมาก แนวโน้มคนจะเริ่มหันมาทำประกันชีวิตมากขึ้นเพื่อคุ้มครองและดูแลตัวเองในยามแก่เฒ่า รัฐบาลคงไม่มีงบประมาณมากพอที่จะดูแลได้อย่างเพียงพอ เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐบาลจะหันมาสนับสนุนธุรกิจประกันชีวิตในประเทศมากขึ้นอย่างแน่นอน
 รูปแบบการสนับสนุนที่ผ่านมามีการเพิ่มค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตจาก 50,000 บาท เป็น 100,000 บาท แล้วก็เพิ่มลดหย่อนประกันแบบบำนาญเพิ่มอีก 200,000 บาท เป็นต้น บริษัทประกันชีวิตเองก็จะขายสัญญาคุ้มครองสุขภาพพ่วงอีกได้มากขึ้น
 สาม..ถ้าคุณซื้อประกันชีวิตกับบริษัทใดก็ตาม ปีถัดๆไปคุณก็ยังต้องซื้อประกันชีวิตกับบริษัทนั้นๆอีก จะกี่ปีก็แล้วแต่ประเภทของกรมธรรม์ที่คุณซื้อ ขณะที่คุณซื้อยาสีฟัน ครั้งนี้คุณอาจจะซื้อคอลเกต ที่ร้าน 7-11 แต่ครั้งต่อไปคุณอาจจะซื้อยาสีฟันยี่ห้อฟลูออคารีล ที่ร้านท็อป ซูเปอร์มาร์เก็ต เห็นมั๊ยว่าคุณอาจจะเปลี่ยนยี่ห้อที่ใช้ และเปลี่ยนสถานที่ที่ซื้อ แต่ประกันชีวิตคุณยังจ่ายเงินค่าเบี้ยกรมธรรม์ตัวเดิมกับบริษัทเดิม ซึ่งบางกรมธรรม์คุณต้องส่งเบี้ยมากกว่า 15 ปีก็มี นี่คือ "เสน่ห์" ของธุรกิจประกันชีวิตที่ธุรกิจอื่นไม่มี   
     สี่..ค่าใช้จ่ายที่ "แพงที่สุด" ของธุรกิจประกันชีวิตก็คือ "ค่าคอมมิชชั่น" ที่บริษัทต้องจ่ายให้กับ "ตัวแทนขาย" กรมธรรม์บางประเภทปีแรกอาจจะจ่ายเกือบ 50% ปีที่ 2 อาจจะเหลือ 20% ปีที่ 3 เหลือ 8% ปีที่ 4 เหลือ 5% และลดลงไปเรื่อยๆ ขณะที่เบี้ยเรียกเก็บจากลูกค้า "เท่าเดิมทุกปี" คุณเห็นมั๊ยว่าทุกปีบริษัทมีรายรับจากลูกค้าคนเดียวกันเท่ากันทุกปี ขณะที่ค่าใช้จ่าย (ค่าคอมมิชชั่น) "ลดลงทุกปี" มีธุรกิจไหนที่จะแสนดีแบบนี้ ถ้าเป็นธุรกิจประเภทอื่นๆมีแต่ต้นทุนจะแพงขึ้นทุกปี  
 
เปรียบเทียบระหว่าง SCBLIF กับ BLA
 ข้อที่ 1 การวิเคราะห์กำไรสุทธิย้อนหลัง SCBLIF มีข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี (2548-2553) ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และแข็งแกร่งโดย "อัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี" หรือ Compound Annual Growth Rate (CAGR) 5 ปี เท่ากับ 48.83% ถึงแม้ในปี 2551 เกิดวิกฤติซับไพร์มทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งไทยตกต่ำ แต่จะเห็นได้ว่าในปีนั้น SCBLIF ยังมีกำไรเติบโตถึง 50% ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ขาดทุนกันมากมาย หรือกำไรลดต่ำลงมาก SCBLIF มีรายได้เติบโตมาจากการทำ Bancassurance (ช่องทางการจำหน่ายผ่านธนาคาร) ผ่านทางธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันเป็นธนาคารที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย หรือมากกว่า 1,000 สาขาแล้ว ซึ่งสาขาเหล่านี้เป็นช่องทางที่ดีสำหรับการขายประกันชีวิต เพราะผู้ซื้อรู้สึกเชื่อถือมากกว่าการซื้อประกันจากตัวแทน
 จากฐานลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ใหญ่ ย่อมส่งผลดีต่อ SCBLIF เป็นอย่างมาก และ SCBLIF มีเบี้ยประกันขายผ่านธนาคารมากเป็นอันดับ 1 และจากการที่ทางการอนุญาตให้บริษัทประกันชีวิตสามารถทำธุรกิจได้หลากหลายขึ้น เช่น ทำธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) กับแบงก์ชาติได้โดยไม่จำกัด
  นอกจากทำ Bancassurance ผ่าน SCB แล้ว ยังทำกับ ธอส. และล่าสุดได้เป็นบริษัทประกันชีวิตบริษัทเดียวที่สามารถขายประกันผ่านห้างเทสโก้ โลตัส ที่มีสาขามากถึง 136 แห่ง และปัจจุบัน SCBLIF พยายามเพิ่มตัวแทนให้มากขึ้นซึ่งจะเห็นได้ว่า ยอดขายผ่านตัวแทนโตขึ้นในระดับที่สูงมาก รวมทั้งช่องทางขายผ่านโทรศัพท์ (เทเลมาร์เก็ตติ้ง) และผ่านทางโบรกเกอร์ต่างๆ  แล้วยังเน้นขายสินค้าให้กลุ่มราชการมากขึ้น
 สรุป 5 เดือนแรกของปี 2554  SCBLIF มีเบี้ยรับรวมเติบโต 20% โดยผ่าน  Bancassurance เติบโต 22% และตัวแทนโต 55% และจากสเปเชียล มาร์เก็ตติ้ง โตอีก 80% และกำลังเจรจาทำธุรกิจกับตลาดสหกรณ์ออมทรัพย์และ ธกส.
 ข้อที่ 2 การวิเคราะห์อัตราส่วนต่างๆ จะเห็นได้ว่า P/E ของ SCBLIF ประมาณ 14 เท่า ขณะที่ P/E ของหุ้นกรุงเทพประกันชีวิต (BLA) เกือบ 20 เท่า ทั้งๆที่ SCBLIF มีผลประกอบการที่ตรวจสอบได้ให้เห็นเป็นระยะเวลาที่นานกว่า BLA มาก ซึ่ง BLA เพิ่มเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2552 ทำให้ไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบ 5 ปี โดยปกติหุ้นใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็จะมีการแต่งตัวให้สวยงาม ต้องรอดูผลงานอีกสัก 1-2 ปี ถึงจะรู้ว่าเป็น "เพชรแท้" หรือไม่ 
 เมื่อนำเอา Ratio ต่างๆมาเปรียบเทียบกันจะเห็นได้เลยว่า SCBLIF ดีกว่า BLA ทุกด้าน ไม่ว่า P/BV ที่ต่ำกว่า ROE และ ROA ที่สูงกว่า แม้สภาพคล่องในการซื้อขายของ SCBLIF จะด้อยกว่า BLA แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ SCBLIF ต้องซื้อขายที่ Valuation (การประเมินมูลค่าหลักทรัพย์) ที่ต่ำกว่า BLA  ด้วย Valuation ของ BLA  ในขณะนี้ ส่วนตัวคิดว่า SCBLIF ควรจะซื้อขายกันที่ 640 บาท (ไม่ใช่ 462 บาทในปัจจุบัน) ซึ่ง SCBLIF ก็เคยทำจุดสูงสุดที่ 618 บาท เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา
 "ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า หุ้นที่ผม Cover อยู่ (ประมาณ 30-40 ตัว) SCBLIF เป็นหุ้นที่ดีที่สุดแล้วในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นบางบริษัทอาจมีผลประกอบการดี แต่บางปีก็ขาดทุน หรือไม่ก็มีกำไรลดลง ยิ่งถ้าดูในปี 2551 (วิกฤติซับไพร์ม) จะเห็นได้เลยว่า SCBLIF แกร่งแค่ไหน"  กิติชัย เตชะงามเลิศ เซียนหุ้นรายใหญ่กล่าวสรุปปิดท้ายบทวิเคราะห์ของเขา

Sunday, May 13, 2012

สัญญาณกราฟแท่งเทียน เพื่อหาจุดกลับตัวของราคา



วันนี้มาดู การหาจุดกลับตัวของแนวโน้มโดยใช้กราฟแท่งเทียน


ถาม : ทำไมต้องศึกษารูปแบบพวกนี้

ตอบ : เพราะราคา มักจะมีรูปแบบเฉพาะตัว ที่มักจะมี รูปแบบของแท่งเทียน บอกให้เรารู้ว่า ราคาต่อไปจะเป็นอย่างไร สรุปคือ รูปแบบพวกนี้ มีการเก็บสถิติ ว่า มีการเกิดขึ้นบ่อยๆ และมีการเก็บสถิติต่อว่า เมื่อเกิดรูปแบบที่ว่าแล้ว ราคามันจะเป็นอย่างไรต่อไป



กร๊าฟแทงเทียนโดยทั่วไปจะมี อยู่ 2 สี ที่ต่างกัน คือ เขียว กับ แดง (แต่ปรกติตัวโปรแกรมสามารถตั้งเป็นสีอะไรก็ได้) อย่างที่บอก กร๊าฟแทงเทียน 1 แทง คือการต่อสู้กันของพลังซื้อ กับพลังขาย หากกร๊าฟ นั้นเป็นสีแดง นั้นคือ ในแท่งนั้น พลังขายชนะ หาก เป็นสีเขียว นั้นคือ พลังซื้อชนะ

ส่วนที่เป็นบริเวณไส้เทียน นั้นคือ จุดสูงสุด หรือสุดต่ำสุด ที่พลังทั้ง 2 สู้กัน






แต่ถ้าหากว่ากร๊าฟแท่งเทียน ไม่มีตัว นั้นหมายถึง ราคาปิด กับราคาเปิด เป็นจุดเดียวกัน หรือพูดง่ายๆก็คือ พลังซื้อ กับ พลังขาย มันมีพลังพอๆกัน ในช่วงแท่งเทียนนนั้น




สำหรับเจ้าโดจิป้ายศพ ตามรูปข่างล่าง หากเกิดขึ้นที่ยอดของราคาหุ้น มันก็ตามความหมายเลย ต้องรีบขายซะ





...........................

ทีนี้มาดูกร๊าฟแท่งเทียนรูปแบบค้อนกันบ้าง ตามรูปข้างล่าง จะแดงหรือ เขียวก็ได้ โดยจะต้อมมีตัวอยู่ข้างบน ไส้เทียนด้านบน อาจจะมี แต่ต้องสั้นมาก และใส้เทียนข้างล่างจะต้อง ยาวกว่า ตัว 2-3 เท่า




.................................


เรียกว่ารูปแบบค้อน หรือ แฮมเมอร์ รูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่า มีโอกาสถึงจุดกลับตัวค่อนข้างสูง นั้นคิอ ราคามันจะขึ้น







.....................................

อีกรูปแบบเรียกว่า คนแขวนคอ ความหมายก็น่ากลัวตามชื่อนั้นแหละ นั้นคือ หากแท่งเทียนแท่งต่อไป ราคาต่ำกว่า แท่งเทียนคนแขวนคอ มีโอกาสที่จุดนี้จะเป็นจุดกลับตัว




........................................

ตัวอย่าง จะเห็นในรูปที่ ที่จุดที่ 1 นั้น มีการกลับตัว แต่สัญญานยังไม่ชัดเท่าอันที่ 2 เพราะ จะเห็นว่า จุดที่ 2 นั้น หางมีความยาวกว่าตัวมาก สัญญาณ จึงชัดกว่า





...................

ต่อไปเป็นรูปแบบ ที่เรียกว่า รูปแบบ กลื่นกิน หรือ Engulfing Pattern

มีข้อแม้ว่า

1. ตลาดต้องมีแนวโน้มที่ชัดเจนอยู่แล้วก่อนหน้านั้น เช่น ขึ้นก็ขึ้นเอาๆ หรือลงก็ลงเอาๆ

2. ตัวแท่งเทียน ที่ 2 ต้องคอบคุม ตัวแท่งเทียนแรกทั้งหมด ยิ่งคุมมากสัญญาณก็ยิ่งชัด (แต่ไม่จำเป็นต้องคอบคุมใส้เทียนทั้งมด)

3. แท่งเทียนที่ 2 จะต้องมีสีต้องกันข้ามกับแท่งเทียนอันแรก

รูปแบบ ตามรูปข้างล่าง หากเจอรูปแบบนี้ มีโอกาส เปลี่ยนเทรนสูง

เช่นข้างล่าง ราคาลงอยู่ดีๆ อยู่ๆก็เจอแท่งเทียนสีแดง ที่มีพลังขายชนะพลังซื้อ เมื่อถึงเวลานี้ ตลาดก็เริ่มงงว่าจะเอายังไงกันแน่ จะขึ้นหรือจะลง พอเจอแท่งเทียนที่ 2 แท่งเทียนแท่งที่ 2 นี้ พลังซื้อ กับพลังขาย ต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนสุดท้าย พลังซื้อชนะ ราคาของกร๊าฟ ก็เลยได้เทรนใหม่ กลายเป็นเทรนขึ้นไปเลย เพราะพฤติกรรมของราคา ประมาณว่า แห่กันไป ใครตกเทรนก็ซวยไป ประมาณนั้น




ส่วนรูปข้างล่างก็แนวๆเดียวกัน ก็ประมาณว่า ราคาขึ้นอยู่ดีๆ อยู่ๆเจอแท่งเทียนที่พลังซื้อชนะพลังขาย จากนั้น ตลาดก็เริ่มงงว่า จะเอายังไงแน่ พอเจอแท่งที่ 2 เข้าไป ก็เลยได้ข้อสรุปว่า งั้นก็ลงกันสิฟ๊ะ ก็เลยแห่กันตามไป และเหมือนเดิม ใครตกเทรน ก็ซวยไป






.............................

มาดูตัวอย่างในราคาหุ้นของ vannachai group ในกรอบสี่เหลี่ยม จากราคาขึ้นอยู่ดีๆ เจอรูปแบบ กลื่นกินเข้าไป เปลี่ยนเทรนเลย




..........................












มาในรูปแบบต่อไป เรียกว่า เมฆดำปกคลุม (Dark Cloud Cover)

รูปแบบนี้ดูเหมือนจะคล้ายๆ รูปแบบ "กลื่นกิน" อยู่เหมือนกัน ประมาณว่า กร๊าฟขึ้นอยู่ดีๆ แล้วก็มาเจอแท่งเทียนที่ 2 (เป็นแท่งสีแดง) และจุดเปิดของแท่งสีแดง ดันสูงกว่าจุดปิดของแท่งสีเขียว (หากว่าสูงกว่าใส้เทียนสูงสุดของแท่งสีแดง จะเป็นการยืนยันสัญญาณที่ชัดเจน)

ที่ที่สำคัญ จุดปิดของแท่งสีแดง ต้องต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นส์ ของแท่งสีเขียว






ส่วนรูปแบบกลับกันเรียกว่า รูปแบบ "ทิ่มแทง" Piercing คือประมาณว่า ราคาลงอยู่ดีๆ อยู่ๆ ก็เจอแท่งสีแดงแท่งแรก แล้วมีแทงสีเขียวตามมา แบบนี้มีข้อแม้ว่า

1.ราคาปิดแท่งแดง ต้องสูงกว่า ราคา เปิดแท่งเขียว

2.ราคาปิดแท่งเขียว ต้องเกิน 50 เปอร์เซนส์ของตัวของแท่งเทียนสีแดง ยิ่งเกินเยอะสัญญาณยิ่งชัด




มาดูตัวอย่างของกร๊าฟ SET มีทั้ง 2แบบ




รูปแบบต่อไป เป็นรูปแบบที่ต่อเนื่องกับ เมฆดำปกคลุม และ ทิ่มแทง แต่ต่างกันที่ แท่งสีเขียว ไม่สามารถผ่าทะลุ 50 เปอร์เซ็นของตัวแท่งสีแดงไปได้ นั้น หมายความว่า แนวโน้ม ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง (ยังไม่ใช่รูปแบบ การกลับตัว)

มีรูปแบบเช่น

1. On neck

2. In neck

3. Thrusing Pattern




รูปข้างล่างนี้แสดงให้เห็นว่า แท่งสีเขียว ไม่สามารถทะลุ 50 เปอร์เซ็นส์ของแท่งสีแดงไปได้ จึงไม่ใช่จุดกลับตัว







............................

รูปแบบต่อไปเรียกว่า "รูปแบบดาวตก" shooting star

รูปแบบนี้พบบ่อย แท่งเทียนจะเป็นสีอะไรก็ได้ แต่ที่สำคัญจะต้องมี Gap นั้นคือ การเปิดตัวกระโดดขึ้นไป หาง (ไส้เทียนจะต้องยาว ยิ่งยาวยิ่งดี) และ หากแท่งเทียนแท่งต่อไป ลง นั้นคือสัญญาณที่ชัดเจน







รูปแบบต่อไป เป็นรูปแบบ ที่ตรงกันข้ามกับ ดาวตก นั่นคือ "รูปแบบฆ้อนกลับหัว" หรือ Invert Hammer

รูปแบบนี้ตัวแท่งเทียน จะสีอะไรก็ได้ แต่ที่สำคัญต้องมี Gap อีกเช่นกัน และ แท่งเทียนต่อไป หากมีการปิดที่ ราคาสูงขึ้น นั่นเป็นการยืนยันสัญญาณ




ดูตัวอย่างร๊าฟราคาของ CPF ดูที่ราคาปิดของแท่งเทียนก่อนหน้า กับราคา เปิดของแท่งเทียนสีเขียว มันไม่ใช่ต่ำแหน่งเดียวกัน และมีแท่งสีแดงหลังจากนั้น ราคาต่ำลง(เพราะเป็นแท่งสีแดงนิ พลังขายชนะพลังซื้อ) เป็นการยืนยันสัญญาณว่า ราคามันจะลง







...........................

รูปแบบต่อไปเรียกว่า รูปแบบ "คนมีท้อง" หรือ Harami Pattern

แท่งเทียนจะสีอะไรก็ได้ แต่ว่า แท่งที่ 2 จะต้องเล็กกว่าแท่งแรก รูปแบบนี้จะตรงกันข้ามกับ รูปแบบกลื่นกิน

ส่วน แท่งที่ 3 ถ้าขึ้น หรือลง นั่นเป็นตัวยืนยันสัญญาณ ทำไมถึงเรียกว่า คนมีท้อง ก็ดูดีๆ ว่า แท่งแรก เขาว่ามันเหมือนคน ส่วนแทงที่ 2 เขาว่า มันเหมือนท้อง เลยเป็นคนอุ้มท้องไปซะเลย ช่างคิดจริงๆ ฮ่าๆ






นี้เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นที่ SET ลงดูในกรอบสี่เหลี่ยม จะพบว่า เกิดรูปแบบ คนมีท้อง จากนั้น แท่งที่ 3 เป็นการยืนยันว่า การขึ้นมันจบแล้วนะ








....................................


รูปแบบต่อไปเรียกว่า ฮารามิกากบาท หรือ Harami Cross คือเหมือนกับคนมีท้องนั่นแหละ แต่จะให้สัญญาณที่แรงกว่า เพราะตัวกากบาท หรือที่เราเรียกว่า ตัว โดจิ เป็นการสู้กันของ ราคาซื้อ และราคาขาย แบบว่าเสมอกัน กินกันไม่ลง แต่ตัวแปล นั้น กลับอยู่ที่ แท่งเทียนที่ 3 ว่าจะขึ้นหรือลง ดัง้นั้นแท่งที่ 3 เป็นตัวยืนยันสัญญาณ ดั้งนั้น แท่งที่ 3จึงสำคัญมาก

ปล. แท่งเทียนยิ่งสแกลใหญ่ ยิ่งมีความแมนย่ำสูง เช่น แท่งเทียน 1 วัน แมนย่ำ กว่าแท่งเทียน 1นาที





มาดูตัวอย่างใน SET ในรูปสีแหลี่ยม จะเห็น Harami Cross จากนั้นมันก็จะปรับตัวขึ้นเลย แท่งที่ 3 สำคัญมาก






.........................

ต่อไปเป็นรูปแบบ Tweezer Top กับ Tweezer Bottorn หรือ บางคนก็อาจจะเรียกว่า Double Top กับ Double Bottorn รูปแบบ นี้เป็นการผสมผสานกับ ลักษณะสัญญาณข้างบน เช่น Harami Cross , Harami Pattern , shooting star ฯลฯ

แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ในส่วนของ Double Top ราคาสูงสุดจะเท่ากัน และ Double Bottorn ราคาต่ำสุดจะเท่ากัน รูปแบบนี้ จะเป็นการเพิ่มสัญญาณความแรง เป็นการยืนยันสัญญาณที่แรงกว่าว่างั้นแหละ





...........................
รูปแบบต่อไปเรียกว่า เข็มขัดกระทิง หรือ Bullish Belt Hold และรูปแบบตรงกันข้ามคือ เข็มขัดหมี หรือ Bearish Belt Hold รูปแบบนี้ดูเหมือนจะคล้ายๆ แฮมเมอร์ กับคนแขวนคอ


^
^
รูปแบบ แฮมเมอร์ กับคนแขวนคอ



แต่มันจะต่างกันที่ แฮมเมอร์ กับคนแขวนคอ มันสีอะไรก็ได้ แต่รูปแบบ เข็มขัด ตามสีในรูปข้างล่าง และที่สำคัญ รูปแบบเข็มขัด ตัวจะยาวกว่าหาง





ตัวอย่างรูปแบบกระทิงในรูปข้างล่าง









.......................

รูปแบบต่อไปเรียกว่า อีกา 2 ตัวบนช่องว่าง (Upside Gap Two Crows)

อีกาเป็นความโชคร้ายของญี่ปุ่น

คือในรูปข้างล่าง เราจะต้องมี Gap คือ ราคาเปิดกระโดดสูงขึ้นไป แต่สุดท้าย กลับปิดในแรงบวกไม่ได้ (อีกาตัวแรง) จากนั้น ตลาดก็เริ่มงง ว่าจะเอายังไงดี ก้มาเจอ อีกาตัวที่ 2 พอเจออีกาตัวที่ 2 คราวนี้ชัดเลย แท่งที่ 3 (ยืนยันสัญญาณ) ก็เริ่มลง

จะเห็นว่า มันคล้ายๆ Harami (คนมีท้อง)เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ อันนี้มันมี Gap และคนมีท้อง ท้องจะอยู่ด้านขวา





อีกตัวจะเรียกว่า อีกา 3 ตัว (Three Black Crows) อีกามากัน 3 ตัวเลย แบบนี้ ไม่ต้องมี Gap ก็ใช้ได้ แต่ อีกา 3 ตัวนั้น ต้องราคาต่ำลงเรื่อยๆ




ตัวอย่าง







.........................


รูปแบบต่อไป ผู้เขียนเรียกง่ายๆว่า "กระทิงโต้กลับ" แต่ชื่อจริงๆคือ เส้นทางการตีโต้กลับกระทิง (ชื่อยาวจริงๆ) หรือ Bullish Counterattack Line


ข้อแม้คือ

1.แท่งเทียนแท่งแรกต้องเป็นสีแดง

2.แท่งเทียนที่ 2 ต้องเป็นสีเขียว

3.แท่งเทียนสีเขียว พอเปิดแล้ว ราคาต่ำลงมา พอถึงจุดหนึ่ง กลับตีโต้ราคาขึ้นไป จนไปปิด ที่ราคาเท่ากับราคาปิดของแท่งสีแดง ประมาณว่า สีเขียวตีโต้สีแดง




ต่อไปเป็นรูปแบบที่ตรงกันข้าม ผู้เขียนขอเรียกง่ายๆว่า "หมีโต้กลับ" แต่ชื่อเต็มๆคือ เส้นทางการโต้กลับหมี หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ Bearish Counterattack Line

มีข้อแม้คือ

1. แท่งเทียนอันแรกต้องเป็นสีเขียว

2. แท่งเทียนแท่งที่ 2 เป็น สีแดง

3. ประมาณว่า แท่งเทียนแรก สีเขียว ราคากำลังขึ้นอยู่ดีๆ พอแท่งที่ 2 ก็ยังขึ้นอยู่ พอถึงจุดสูงสุดของราคา กลับโดนโต้ด้วย หมี (สัญญาณขาย)จนกลับมาปิดที่ จุดเริ่ม พอแท่งที่ 3 ราคาก็ลงต่อ เป็นการยืนยันสัญญาณลงเข้าไปอีก





ตัวอย่าง





................................

รูปแบบต่อไป เรียกว่า ยอดหอคอย หรือ Tower Top

รูปแบบนี้ถือว่าเป็นรูปแบบ "ผสม" ดังนั้น จึงค่อนข้างอธิบายในเชิงวิชาการยากนิดหน่อย แต่สามารถ อธิบายภาษาชาวบ้าน ประมาณว่า

ราคา ขึ้นมาสักพัก ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเริ่มหมดแรง และลงนิดหน่อย (ในแท่งที่ 3) จะนั้นตลาด เริ่มงง ว่าจะเอายังไงต่อ ก็ได้คำตอบว่า ขึ้นอีกสักนิดน่า จนสุดท้าย ความเชื่อที่ว่า ราคาจะขึ้นต่อ ได้หมดลงไป จนเจอ แท่งสีแดง ขนาดใหญ่ เป็นการยืนยันการกลับตัว ได้เยืยมเลย ยิ่งแท่งที่ 7 เป็นการยืนยันอย่างดี




รูปแบบข้างล่าง เป็นรูปแบบ ตรงกันข้ามกับรูปแบบ ยอดหอคอย เรียกว่า ฐานหอคอย หรือ Tower Bottorn



รูปตัวอย่างจาก SET ประมาณว่า เจอแท่งที่มีการปรับตัวแคบๆ ก่อนที่จะมีแท่งที่ สีตรงกันข้าม






..........................

แท่งเทียนในรูปแบบต่อไป เรียกว่า Evening Star หรือ ดาววีนัส

ข้อแม้คือ

1.จะต้องมี Gap

2. แท่งที่เป็นดาว สีอะไรก็ได้ แต่ตัวของมันต้องสั้นๆในรูปแบบดาว และไส้ของมันต้องสั้นๆด้วย (แท่งที่ 2)

3. แท่งเทียน 2 ข้าง ต้องเป็นสีที่อยู่ในรูป (บังคับ)

4. ต้องมี 3แท่งจึงจะครบองค์ประกอบ




รูปแบบตรงกั้นข้ามคือ Moming Star หรือ ดาวเมอคิวรี่


หลักการก็คล้ายๆกับ ดาววีนัส แต่ตรงกันข้ามเท่านั้นเอง




ตัวอย่าง







รูปแบบที่ใกล้เคียงคือ Evening Doji Star หรือ ดาววีนัสโดจิ เป็นรูปแบบที่เหมือนดาววีนัสทุกอย่าง แต่จะให้สัญญาณที่แรงกว่า






รูปแบบที่ใกล้เคียงอีกอันเรียกว่า Moming Doji Star ลักษณะก็เหมือนกับ ดาวเมอคิวรี่ แต่จะให้สัญญาณที่แรงกว่า






จบตอนแล้ว ความรู้คืออำนาจ หากศึกษา ก็จะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ 




From http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tunsystem&month=02-2010&date=21&group=1&gblog=5