Sunday, September 30, 2012

MONEY TALK - กลยุทธ์เลือกหุ้นแบบวีไอ เผยแพร่เมื่อ 12 ก.ย. 2012 โดย MoneyTalkChannel


Friday, September 28, 2012

QE3หนุนSETนิวไฮ-เงินล้น

QE3หนุนSETนิวไฮ-เงินล้น
       
  ** คาดโค้งสุดท้ายปีไหลเข้าไม่ต่ำ 3 หมื่นลบ.

           QE3 ทำตลาดฯหุ้น -ทอง -เงินบาท คึกรับทุนนอก โดยเฉพาะ SET Index ทำนิวไฮแตะ 1,300 จุด สูงสุดในรอบ 16 ปี และ 11 วันทำการ นับจากประกาศ QE3 ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,014.17 ลบ. ขณะที่ยอดสะสมสุทธิ ตั้งแต่ 29 พ.ย.54 ถึงปัจจุบัน มียอดซื้อสะสม 7.4 หมื่นลบ. ด้าน ตลท. ห่วงทุนนอกทะลัก อาจทำภาวะฟองสบู่ เตือน ระมัดระวังลงทุน ส่วน กูรู เชียร์ลงทุนหุ้นผลงานQ3 แจ่ม เน้นกลุ่มแบงก์-อสังหาฯ- ค้าปลีก เชื่อโค้งสุดท้ายปีทุนนอกทะลักอีก 3-4 หมื่นลบ. มีลุ้นดัชนีฯ แตะ 1350 จุด ส่วน MTS Gold มองราคาทองคำไปต่อ แนะซื้อสะสม


*11 วันทำการ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,014.17 ลบ.
       
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการหารือของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2555 และไฟเขียวใช้มาตรการการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ (QE3) ในการเข้าช่วยซื้อพันธบัตร 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯต่อเดือนไปเรื่อยๆไม่กำหนดเวลาสิ้นสุด และการเพิ่มมาตรการผ่อนคลายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ไว้ระดับเดิมที่ 0.0.25%เพิ่มขึ้นอีก 1 ปี จากเดิมที่คาดว่าจะสิ้นสุดปี 2557 (ค.ศ. 2014) เป็นสิ้นสุดในปี 2558 (ค.ศ.2015) เพื่อดูแลการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐฯ ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคเอเซียและไทยเพิ่มขึ้น
         ส่งผลให้ภาวะการลงทุนขานรับอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ,ทองคำ,ค่าเงินบาท รวมถึงตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2555 หลังQE3 คลอด ดัชนีฯปิดที่ระดับ 1276.12 จุด เพิ่มขึ้น 18.43 จุด หรือ 1.47% มูลค่าการซื้อขาย 57,212.50 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบ 16 ปี และดัชนีฯทำสถิติสูงสุดอีกครั้งในวันที่ 28 ก.ย. 2555 ดัชนีฯทำระดับสูงสุดที่ระดับ 1300.17 จุด ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 1298.79 จุด เพิ่มขึ้น 12.68 บาท หรือ 0.99% มูลค่าการซื้อขาย 36,077.29 ล้านบาท สรุปปริมาณการซื้อขายช่วง 14 ก.ย. 2555 ถึงวันที่ 28 ก.ย. 2555 รวม 11 วันทำการ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,014.17 ล้านบาท

* ตลท.ห่วงQE3 ทำทุนนอกทะลัก ก่อเกิดภาวะฟองสบู่
     นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรงเป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ทองคำ หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) ทำให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลก เชื่อว่าจะมีสภาพคล่องส่วนเกินอีกมากและพร้อมที่จะไหลเข้าตลาดหุ้น โดยเฉพาะเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ได้อานิสงส์ตรงนี้
     อย่างไรก็ตาม ก็ต้องจับตามาตรการการคลังของสหรัฐที่จะหมดอายุว่าจะมีวิธีจัดการอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติในประเทศที่จะส่งผลต่อเม็ดเงินไหลเข้า-ออกด้วย โดยจะต้องระมัดระวังถ้าช่วง 3 เดือนนี้มีเงินทุนไหลเข้ามามากต่อเนื่องนานๆ และปริมาณมากๆ ให้จับตาไว้ เพราะอาจเกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นได้
        แต่ ณ ขณะนี้คงจะยังไม่มีปัญหาดังกล่าว เพราะค่า P/E ตลาดหุ้นไทยยังไม่สูง โดยขณะนี้ค่า P/E อยู่ที่ 13-14 เท่าก็ถือว่ายังไม่แพงเมื่อเทียบกับที่อื่น แต่ก็เชื่อว่าเม็ดเงินน่าจะไหลเข้าต่อเนื่องทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร อย่างเช่นตลาดพันธบัตร 8 เดือนแรก มียอดนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 6.7 แสนล้านบาท เกือบเท่าปี 54 ทั้งปีที่ 6.96 แสนล้านบาท เนื่องจากพันธบัตรบ้านเราให้ผลตอบแทนสูง

'จรัมพร' ชี้ หุ้นไทยช่วงนี้ยังผันผวน เตือน ระมัดระวังลงทุน
     นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มีความผันผวนค่อนข้างสูง เนื่องจากมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดเอเชียค่อนข้างมากจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป ดังนั้นนักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานในประเทศจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่สภาพคล่องที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วจะส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนได้มาก
     'ตอนนี้ตลาดฯ ผันผวนมาก พอเม็ดเงินไหลเข้าก็บวก ไหลออกก็ร่วงทันที ผันผวนทุกวัน มูลค่าซื้อขายก็ผันผวนบวกลบไม่เกิน 3 พันล้านบาท ดังนั้นนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง' นายจรัมพร กล่าว
ทั้งนี้กรณีที่รายงาน CG Watch ปรับอันดับไทยขึ้นเป็นอันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์และฮ่องกงจากในปี 2553 ที่อยู่ในอันดับที่ 4 มองว่าจะส่งผลดีกับบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีธรรมาภิบาล หรือ CG ที่ดี เนื่องจากจะมีกองทุนต่างประเทศที่มีวงเงินลงทุนมากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจะเลือกเข้ามาลงทุนเฉพาะบริษัทที่มี CG ดีและเชื่อว่าเม็ดเงินเหล่านั้นก็จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากด้วย
         สำหรับผลสำรวจ CG Watch Market Scores ระบุว่าประเทศไทยได้อันดับที่ 3 จากทั้งหมด 11 ประเทศในเอเชีย โดยได้คะแนนดีขึ้น 4 หมวด จาก 5 หมวด โดยหมวดบรรยากาศด้านการเมืองและกฏหมาย ไทยได้เท่าเดิมคือ 54% จากคะแนนเฉลี่ยเอเชียอยู่ที่ 55% โดยรายงานระบุว่าเป็นผลมาจากช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาการแก้ไขกฏหมายไทยไม่มีความคืบหน้า

* โบรกฯ เผยต่างชาติขายหุ้นไทยถึง 4 วันจาก 5 วันทำการ
      บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ต่างชาติขายหุ้นไทยถึง 4 วันจาก 5 วันทำการหลังสุดFund Flow ไหลออกจากภูมิภาคเอเซียวานนี้(27 ก.ย.55) เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน แต่มูลค่าลดลงเหลือเพียง 9 ล้านเหรียญฯ ทั้งนี้ มี 2 ประเทศที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิ ได้แก่ ไต้หวัน 108 ล้านเหรียญฯ และอินโดนีเซีย 20 ล้านเหรียญฯ แต่ได้ขายสุทธิออกมาในอีก 3 ประเทศที่เหลือ คือเกาหลีใต้ 120 ล้านเหรียญฯ ไทย 15 ล้านเหรียญฯ และฟิลิปปินส์ 3 ล้านเหรียญฯ อย่างไรก็ดี ยอดรวมทั้งเดือน ก.ย.ในตลาดหุ้นเอเซีย ยังคงเป็นการซื้อสุทธิเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันราว 5.5 พันล้านเหรียญฯ (ซื้อสุทธิ 14 วันจากทั้งหมด 19 วันทำการ)
     สำหรับความเคลื่อนไหวของ Fund Flow ในไทย ช่วง 5 วันหลังสุด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิถึง 4 วัน กดดันยอดสะสมสุทธิตั้งแต่ 29 พ.ย.2554 จนถึงปัจจุบันลดลงมาเหลือเพียง 7.4 หมื่นล้านบาท (นับรวม Big Lot ของหุ้น BAY มูลค่า 1.64 หมื่นล้านบาท) และยอดสะสมของเดือน ก.ย. เป็นการขายสุทธิ 790 ล้านบาท คล้ายกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ช่วง 6 วันหลังสุดขายสุทธิออกมาถึง 5 วันราว 3 พันล้านบาท หลังจากที่ได้ซื้อสุทธิมา 10 วันติดต่อกันก่อนหน้านี้รวม 7 พันล้านบาท

* กูรู แนะลงทุนหุ้นผลงานQ3แจ่ม ปลอดภัยสุด
     นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ภายหลังจากจากธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ได้ประกาศใช้QE3 ส่งผลให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นโดยที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ก็ได้ระบุว่าจะพยายามดูแลการไหลเข้าของเงินทุนให้ใกล้เคียงกับประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าลงทุนในตลาดหุ้น และหากประเมินแล้วเงินทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาจะไปเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มหลัก 30 อันดับแรกในหมดSET50 อาทิ กลุ่มสถาบันการเงิน และสื่อสาร
      อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยได้นานเท่าใด แต่เชื่อว่าหากผลประกอบการในไตรมาส3/55ที่กำลังจะทยอยประกาศออกมาไม่สอดคล้องกันกับราคาหุ้นก็จะมีแรงขายทำกำไรออกมาได้ โดยกลยุทธ์การลงทุนควรลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการดี อาทิ กลุ่มสถาบันการเงิน อสังหาฯ ค้าปลีก และกลุ่มรับประโยชน์จากท่องเที่ยว ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังคงเป้าไว้ที่ 1,300-1,330 จุด

* คาดโค้งท้ายปีนี้ทุนนอกทะลักอีก 3-4 หมื่นลบ.ทำหุ้นไทยมีลุ้นแตะ 1350 จุด
         นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเข้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด คาดการณ์ว่า จะมีเม็ดเงินทุนนอกไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยราว 3 - 4 หมื่นล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งมีโอกาสที่จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1350 จุด ในระยะสั้น และเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินทุนนอกไปจนถึงปี2556 เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญ

* MTS Gold มองราคาทองคำไปต่อ แนะซื้อสะสม
      นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก เปิดเผยว่าประเด็นมาตรการ QE3 ที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวไปแล้ว 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งคาดว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลบวกในระยะยาวและคาดว่าราคาทองคำยังสามารถรับข่าว QE3 และสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 100 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งมีโอกาสจะเห็นราคาทองคำถึง 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้มีโอกาสถึง80% ที่ราคาทองโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะมาตรการ QE มีออกมาทั้งในประเทศญี่ปุ่น จีนและยุโรป และเมื่อเม็ดเงินออกสู่ระบบเป็นจำนวนมากจะส่งผลให้เงินล้นตลาดและภาวะเงินเฟ้อมีโอกาสเกิดขึ้นสูง ดังนั้นนักลงทุนจะหันเข้ามาหาสินทรัพย์ทองคำเพื่อหลีกหนีภาวะเงินเฟ้อดังกล่าวมากขึ้น ส่วนแนวรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ประเมินไว้ที่ 1,700 ดอลลาร์/ออนซ์
         'ระยะสั้นที่ผ่านมาที่ราคาทองลงนิดหน่อยมาจากการประท้วงในกรีซและสเปน กดดันเงินยูโรอ่อนค่า แต่เมื่อประท้วงสิ้นสุดมองว่า มาตรการ QE ที่ออกมาในแต่ละประเทศ ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในระยะกลาง-ยาวบวกต่อได้ 'นายแพทย์กฤชรัตน์กล่าว
         ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนทองคำในช่วงนี้สำหรับนักลงทุนระยะยาวสามารถเข้าซื้อสะสมได้ ส่วนนักลงทุนระยะสั้นรอจังหวะราคาทองอ่อนตัวลงแล้วเข้าซื้อ ส่วน Gold Futures แนะนำให้เก็งกำไร

* 'ศุภวุฒิ' เตือนระวังQE3 ทำบาทแข็ง สั่งจับตา 30 เดือนจากนี้
         นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ภัทร เปิดเผยว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์นับจากนี้จะแข็งค่าและผันผวนมากขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบ 3 หรือ QE3 ซึ่งไม่มีข้อจำกัดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด โดยนักวิเคราะห์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีการอัดฉีดเม็ดเงินไปจนถึงกลางปี 2558 หรืออีกประมาณ 30 เดือนนับจากนี้ ซึ่งจะทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และจะเห็นได้ว่าปัจจุบันอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยพันธบัตรของสหรัฐฯ ระยะ 2 ปีอยู่ที่ 0.25% ขณะที่พันธบัตรไทยอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 3% ซึ่งอาจเป็นแรงจูงใจถึงการไหลเข้าของเงินทุนอย่างต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 30 เดือนเช่นกัน
         ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและเห็นว่าสถานการณ์นี้มีความไม่น่าไว้วางใจและมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเงินทุนจำนวนมากจะไหลเข้ามาเมื่อไหร่ ขณะเดียวกันภาคเอกชนที่มีการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศจะต้องระมัดระวังความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ในส่วนของผู้ฝากเงินมีแนวโน้มที่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น จากการที่ธนาคารพาณิชย์แข่งขันระดมเงินฝากอย่างต่อเนื่อง
         'QE3 ที่สหรัฐฯ ประกาศอย่างไม่มีจุดจบ ตั้งข้อสังเกตว่าจะอยู่ไปอีกประมาณ 30 เดือนถึงกลางปี 2015 และถ้าดอกเบี้ยสหรัฐฯ ต่ำขนาดนั้น สภาพคล่องล้นระบบ ดอลลาร์อ่อนลงมาก อาจมีเงินไหลเข้ามายังไทยได้ บาทจะผันผวนแข็งขึ้นเร็ว แต่หากมีความตื่นตระหนกเงินขาออกก็จะผันผวนเป็นขาลงได้มากขึ้นเช่นกัน ส่วนจะเริ่มเห็นผลจาก QE3 เมื่อไหร่คงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับจุดกระตุ้นและตำราเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งย้อนประวัติศาสตร์โลก ไม่มีครั้งไหนเลยที่ประเทศหลักออกมาบอกว่าจะพิมพ์เงินออกมาในระบบ ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะมีผลเมื่อไหร่ แต่รู้ว่าความเสี่ยงสูงมากที่เงินจะทะลักเข้ามา ต้องมอนิเตอร์ไปอีก 30 เดือน' นายศุภวุฒิ กล่าว
      ด้านนักค้าเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทยเบื้องต้นประเมินว่าจะยังมีสัญญาณแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในระยะสั้นจะประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของสัปดาห์หน้าไว้ที่ 30.70 บาท/ดอลลาร์ แต่ในอนาคตอันใกล้หากค่าเงินบาทหลุดระดับ 30.50 บาท/ดอลลาร์ ก็คาดว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้อีก
         ทั้งนี้ สาเหตุจากกรณีสเปนกำลังจะขอเงินช่วยเหลือจากกองทุนEFMโดยประเด็นดังกล่าวจะทำให้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าตามทิศทางเดียวกับสกุลเงินยูโรขณะเดียวกันหลายฝ่ายก็ยังประเมินเศรษฐกิจประเทศจีนที่กำลังชะลอตัวซึ่งรัฐบาลอาจจะมีมาตรการเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทำให้แนวโน้มเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้าในตลาดเอเชียมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน

* "ประสาร"ย้ำไม่ประมาทผลกระทบQE3 พร้อมรับภาวะเงินทุนไหลเข้า
         ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ผลกระทบจากมาตรการQE- 3 เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม และไว้วางใจไม่ได้ แต่เชื่อว่าภูมิภาคละตินอเมริกาเป็นภูมิภาคที่เงินทุนจะไหลเข้ามากที่สุด เพราะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าเอเชีย แม้ผลของคิวอี 3 จะทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น 1- 2% แต่ไม่รุนแรงเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาค
         ดร.ประสาร กล่าวว่า การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมามีความสมดุล เห็นได้จากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตลาดหุ้น และพันธบัตร จำนวน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ขณะเดียวกันก็มีการลงทุนต่างไปประเทศของคนไทย จำนวน 8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป รวมทั้งการที่ดุลชำระเงินมีแนวโน้มเกินดุลเล็กน้อย ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ ในปีนี้ ทำให้แรงกดดันค่าเงินบาทแข็งค่าลดลง
          ผู้ว่าฯธปท. ย้ำว่า ภาคเอกชนไม่ควรชะล่าใจ และต้องมีการบริหารความเสี่ยง เพราะธปท.จะเข้าไปดูแลค่าเงินบาท เมื่อเกิดภาวะตื่นตระหนก หรือการเคลื่อนไหวที่ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย โดยจะไม่มีการฝืนกลไกตลาด ซึ่งขณะนี้ธปท. ยังมีเครื่องมือในการดูแล และสามารถใช้ได้ดีพอสมควร แต่การดำเนินนโยบายก็มีต้นทุน จึงต้องผสมผสานการใช้นโยบาย ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ย รวมถึงกฎระเบียบที่ใช้ดูแลสถาบันการเงิน เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ผลพวงจากเศรษฐกิจโลกและวิกฤติการเงินในยุโรป ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
         

กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ by พี่โจ ลูกอิสาน


0012 : กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ by พี่โจ ลูกอิสาน

" เอาบทความคลาสสิคอีกบทความนึงมาฝากครับ
จากพี่โจ ลูกอิสาน เช่นเดียวกับบทความที่แล้ว
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนพอร์ทเท่ามด(อนาคตเท่าช้าง)
เช่น พวกเราหลายๆคนนะครับ "




กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ / by ลูกอิสาน

ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็น คือ

1.ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด
2.ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด



ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ

1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน



1.1 เพิ่มรายได้ 

ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก
การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่
การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก)
การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อนมาก
ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน
เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา


1.2 การลดรายจ่าย 

รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ คือ
การผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money
เคยพูดไว้ว่าตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคตคือการซื้อรถ
แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่า
ทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน
ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก
ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น

-แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท
หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า
แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลงทุน

-แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่าย
น้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง
เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่
หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง
ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย
ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง


รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้เช่น
ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน
ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ
ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย)
เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ
ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ
เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน
เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอา สบายไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอื่นๆ(อยากรวย)
เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ
ความจำเป็นของแต่ละคน :D


ประเด็นแรกการหาเงินมาลงทุนให้มากที่สุด ผมคงไม่เน้นมากครับ
แต่จะไปเน้นในประเด็นที่สองคือทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด



ประเด็นที่สอง ทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด

ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก
การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ
การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี
กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5-6 ปี
ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก
แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน
นอกจากนั้นแม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้
แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย
และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ
เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า
อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า


การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ
สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ
ที่จริงกลยุทธ์เหล่านี้เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา
แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่
จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ :D


กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออก หรือท่านใดจะเสริม มีดังนี้ครับ

1.การทำการบ้าน(หุ้น) 

ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า
แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง-เป็นแรงบันดาลใจที่ชัดเจนที่สุด
ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่
เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น
มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น
หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน
วิธีทีดีที่สุด ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน
ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น
หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน
ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ



2.ไปหาปลาตรงที่มีปลา 

เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเรา ต้องการผลตอบแทนสูงๆ
ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ
เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา
ข้อสังเกตของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก
หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง
แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำได้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก
ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่ค่อยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม
ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง
หลักทรัพย์บางประเภทเช่นวอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยง
เพราะมีความ เสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้
ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง

ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์
ในทำนองเดียวกับที่ เราประเมินมูลค่าหุ้น
หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์
และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ
เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง
นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ



3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) 

หมาย ถึงมองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก
ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย
ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม
ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน
เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด
รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ
การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม
การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล กำไรพิเศษ
นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา
เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์

หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว
ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน
หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า



4.เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด 

เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ
ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ
ดังนั้นในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า
แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม การลงทุนให้เร็วที่สุด
จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว
นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย
ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น

เคยมีผลการวิจัยศึกษา พบว่านักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน
ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี
เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น
เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน
เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย
ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที



5. ผู้บริหารในฝัน 

เพราะผู้บริหารที่ดีจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติ
ผู้บริหารที่นักลงทุนควรมองหาคือ มีความรู้ซึ้งในธุรกิจที่ทำ
มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล มี passtion ในงานที่ทำ
มีความกระหายที่จะทำให้บริษัทเติบโต
และที่สำคัญต้องมองผลประโยชน์ในมุมมอง เดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย

ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย
เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ
การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบ
เป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนต่อไป

(เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่าง นี้
สังเกตจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ
เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้
กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย
แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)



6. ถือหุ้นน้อยตัว 

หากเรามีเงินทุนน้อย การกระจายการถือหุ้นหลายๆตัว
อาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
แต่ผลตอบแทนที่ได้จะหักล้างกันทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร
การเลือกที่จะถือหุ้นน้อยตัวเช่น 2-5 ตัว
จะทำให้เรามีความรอบคอบ พิถีพิถันที่จะเลือกถือหุ้นในกลุ่มที่ดีที่สุด
ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้)
และหากเราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ผลตอบแทนที่ได้รับจะคุ้มค่า

ตัวเลข 2-5 ตัวอาจจะปรับเปลี่ยนได้
ตามระดับความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่เราจะลงทุน



7. คาดหวังผลลัพธ์ 100% 

เลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้กำไรสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง
แม้หุ้นเหล่านี้อาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง
แต่เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะศึกษาให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงนี้
แน่นอนว่าในการลงทุนทุกอย่าง เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้
หากเราลงทุนในหุ้นที่แพ้ เราจะแพ้
หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสทั้งชนะและแพ้
เราจะมีโอกาสทั้งชนะและแพ้
ขึ้นอยู่กับว่าเราศึกษามากน้อยแค่ไหน และบางทีก็เป็น โชคชะตา..



8. Growth always better 

ถ้าหากหลายท่านจำกันได้
กระทู้ของคุณริวกะเมื่อไม่นานมานี้ TVI Index
ที่จริงอาจจะมีเพื่อนๆเอะใจว่า คำตอบการลงทุนที่ เราค้นหามานาน
อาจจะซ่อนอยู่ในกระทู้ที่ว่านี้ก็ได้
คำตอบที่ผมหมายถึงคือ
หากเราดูผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นหลายๆตัวที่ทำกำไรสูงๆ ในกระทู้นั้น
สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ
ทุกบริษัทเป็นหุ้นเติบโตสูงหรือ growth stock ทั้งสิ้น
คำอธิบายแบบเรียบง่ายคือราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำได้
ถ้ากำไรเพิ่ม ราคาหุ้นก็เพิ่ม คนที่ถือไว้ก็ได้กำไร
นักลงทุนทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน
จะมีหุ้นเติบโตสูงอยู่ในพอร์ตเสมอๆ

...เวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หากเราลงทุนในหุ้นโกรท...
ชื่อ:  003.PNG
ครั้ง: 6921
ขนาด:  51.3 กิโลไบต์

เปิดโผ 16 หุ้นเล็กกำไรโต

ชื่อ:  002.PNG
ครั้ง: 6912
ขนาด:  50.4 กิโลไบต์

เปิดโผ 16 หุ้นเล็กกำไรโต

ชื่อ:  001.PNG
ครั้ง: 7180
ขนาด:  89.0 กิโลไบต์








หุ้น "น่าซื้อ" มีอัพไซด์เกิน 20% วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2555

Thursday, September 27, 2012

อนุรักษ์ บุญแสวง ลูกอีสาน

นักลงทุน วีไอ โจอนุรักษ์ บุญแสวง นักลงทุน vi ตัวจริง บริหารพอร์ตหุ้น 100 ล้าน แนะวิธีลงทุน ให้ผลกำไรงอกเงย 

คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น ประโยคพลิกชีวิต 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ก่อนชีวิตจะกลับด้านจาก'คนจน' กลายเป็น 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' นิยายกลายเป็นจริง

ถ้าชีวิตคนคนหนึ่งคือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นตัวเอง ชีวิต "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง ก็เป็นยิ่งกว่านวนิยายสะท้อนให้ใครหลายคนเห็นว่าเด็กยากจนคนหนึ่งชีวิตยังประสบความสำเร็จได้...นิยายกลายเป็นความจริง!!!    

หุ้น 100 ล้าน ของเขาเป็นกลุ่มนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ "โจ" นับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัยเพียง 38 ปี เขามีพอร์ตหุ้นใหญ่ "เลข 9 หลัก" 100 ล้าน ด้วยหลักการลงทุน "กำไรทบต้น" พอร์ตขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% ทำกำไร 400 เท่า ภายในระยะเวลา 12 ปี เขาทำได้มาแล้ว!



โจเป็นคนจังหวัดพังงาแต่ใช้นามแฝง "ลูกอีสาน" ตามนวนิยายเรื่อง “ลูกอีสาน” ของ คำพูน บุญทวี หนังสืออ่านนอกเวลาที่บรรยายชีวิตเด็กบ้านนอกยากจนได้บาดลึกถึงหัวใจ  หลังคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.6 แม่ต้องยึดอาชีพขายของชำเล็กๆ เลี้ยงดูครอบครัว 5 ปาก แต่ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน "ชีวิตต้องสู้" ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ชาตินี้ต้องประสบความสำเร็จให้ได้

ช่วงเรียนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โจใช้เวลาทุกเย็นคลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์และ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อนคนอื่นไปเที่ยวเฮฮากัน โจนั่งอ่าน..อ่าน และอ่านอย่างนี้ทุกวันตลอด 4 ปี เขาเคยล้มเหลวจากความพยายามเล่นหุ้นครั้งแรก และตามภรรยาไปอเมริกาไปทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารเกาหลีประมาณ 1 ปีครึ่ง ก่อนจะกำเงิน 800,000 บาท กลับมาพิชิตความฝันที่รอคอยจนมีเงิน "หลักร้อยล้าน" ในปัจจุบัน  
 

เซียนหุ้นวีไอรายนี้ เล่าสไตล์การลงทุนให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ปกติจะเป็นคนถือหุ้นค่อนข้างนานเฉลี่ยประมาณ 1 ปี เคยถือนานที่สุด 2-3 ปี ลงทุนสั้นที่สุด 2-3 เดือน ที่ขายเพราะราคาหุ้นขึ้นมาถึงเป้าหมายเร็วก็ขายทำกำไรออกมา  

การลงทุนของโจจะวางน้ำหนักหุ้นไม่กระจุกตัวกันเกินไป เขามีความคิดว่า "นั่งเก้าอี้หลายขาดีกว่าสองขา" ถ้าวิเคราะห์พลาดโอกาสเสียหายจะหนักมาก เพราะฉะนั้นจะไม่วัดดวงกับหุ้นเพียงหนึ่งหรือสองตัว แต่จะกระจายอย่างเหมาะสมเพื่อ “จำกัดความเสี่ยง” 
 

“ปกติผมจะมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 10-15 ตัว แต่ช่วงนี้มีเยอะประมาณ 19 ตัว เพราะพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ผมจะไม่เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม แต่เน้นเป็นตัว ผมถือคติว่าถ้าหุ้นดีจริง สุดท้ายราคาต้องขยับ”

คำจำกัดความของหุ้นที่เขาชอบลงทุนคือ “หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้” ถ้าใครรู้จักโจแทบจะไม่เห็นเขาลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่วีไอส่วนใหญ่ชอบลงทุน เขาให้เหตุผลง่ายๆ "มันแพงครับ!" (หัวเราะ) โจเล่าว่า ทุกวันนี้มีนักลงทุนแนววีไออยู่ 3 ประเภท พวกแรก...ประเภทเดียวกับผม คือ ชอบ "หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้" พวกที่สอง...ชอบหุ้นคุณภาพดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ขอ "ถูก" ไว้ก่อน พวกสุดท้าย...ชอบหุ้น “ซูเปอร์สต็อก” ถูกแพงไม่ว่า ขอให้คุณภาพบริษัทดีไว้ก่อน ประเภทหลังนี้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์วีไอในประเทศไทย “ชอบมาก”

สำหรับวิธีการเลือกหุ้นลงทุน ข้อแรก.."ผมจะดูกำไร" ส่วนตัวมีความเชื่อว่ากำไรเป็นเสมือน "มือที่มองไม่เห็น" กำไรคือ "เจ้ามือตัวจริง" ที่จะผลักดันราคาหุ้น 

"ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่าบริษัทนั้นมีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว"   

ข้อสอง..ผมจะวิเคราะห์ "มูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็นภายใน 1 ปีข้างหน้า" นำมาเปรียบเทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบัน ถ้าหุ้นตัวนั้นมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (margin of safety) ยิ่งมาก..ยิ่งชอบ ถามว่าวิธีการคำนวณต้องทำอย่างไร? เขาบอกว่า เรื่องนี้ต้องไปศึกษาเอง ไม่มีทางลัด นักลงทุนต้องไปอ่านแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1) บ่อยๆ ตัวเองก็อ่านมาแล้วเกือบทุกบริษัท

โจ สรุปให้ฟังว่าหากมองในแง่ของตัวเลขจะดูหลักๆ ดังนี้ หนึ่ง..เน้นดูค่า P/E ควรต่ำเข้าไว้ แต่ถ้าคุณภาพดี ก็ไม่ต้องต่ำมากก็ได้ ปกติหากบริษัทนั้นมีคุณภาพที่ดี "ผมจะเพิ่มพรีเมียม..ให้ค่าเฉลี่ย P/E ขึ้นไปอีก 1 เท่า" แต่ก็ไม่ได้ใช้หลักการนี้ตายตัว  ถ้าคุณภาพ "ดีปานกลาง" จะเพิ่มพรีเมียมค่าเฉลี่ย P/E อีกเพียง 0.5 เท่า จากค่าเฉลี่ยปกติ พวกหุ้นค้าปลีก และโรงพยาบาลจะเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพ "ดีที่สุด" เพราะมีการเจริญเติบโตทุกปี แถมงบการเงินก็ดี ผู้บริหารเก่ง และแทบไม่มีความเสี่ยง

สอง..เน้นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ต้องมากกว่า 15%  สาม..อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ธุรกิจทั่วไปไม่ควรเกิน 1 เท่า ไม่เช่นนั้นจะเริ่มเสี่ยง แต่บางธุรกิจมีข้อยกเว้น เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มลิสซิ่ง เป็นต้น 
ข้อสุดท้าย.. ดูวงจรกระแสเงินสด บริษัทไหนมีเงินนอนอยู่ในบริษัทมากๆ ถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาล และค้าปลีก เพราะเวลาเขาขายสินค้าจะรับเงินสดทันที แต่เวลาซื้อสินค้ากว่าจะจ่ายเงินก็ 60 วัน เท่ากับว่าเขามีเงินสดกองในบริษัทตลอดเวลา แถมเงินส่วนนี้มีดอกเบี้ยด้วย

“ถ้าผมเจอหุ้นที่มีคุณสมบัติอย่างที่บอก ผมจะเคาะขวา (ซื้อฝั่ง Offer) เลย เพราะกลัวมีคนมาแย่ง ไม่ต้องตั้งรอ ซื้อแพงหน่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าตัวไหนดูแล้วอัพไซด์ไม่มาก..ก็รอหน่อย! ส่วนใหญ่จะซื้อทีเดียวเลย ถ้าลงมาก็จะซื้อเพิ่มอีก ตัวไหนดีมากจะซื้อไม่เกิน 30% ของพอร์ต ปกติจะมีหุ้นตัวหลักในใจ 6-7 ตัว”     

ก่อนจะเป็นวีไอที่ประสบความสำเร็จแก่นแท้ข้อหนึ่งที่จะต้องท่องไว้เลยคือ "เราซื้อธุรกิจไม่ได้ซื้อหุ้น" คนส่วนใหญ่ที่คิดว่าซื้อหุ้น เพราะเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้น แต่หากคิดว่าซื้อธุรกิจ เราจะคิดว่าธุรกิจนี้จะมีกำไรสูงขึ้น ซึ่งมันจะเป็นตัวผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น แต่จะคิดแบบซื้อธุรกิจได้คุณต้องศึกษาธุรกิจนั้นอย่างลึกซึ้ง

"บางคนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน คุณต้องไปอ่านหนังสือ การลงทุนก็เหมือนปลูกทุเรียนปีเดียวคงไม่มีทางได้กิน แต่ผมวันนี้ศึกษาข้อมูลเพียง 1 วัน บางครั้ง 5-10 นาที ก็ตัดสินใจได้แล้ว เพราะผมพร้อมตลอดเวลารู้จักทุกบริษัทแล้ว"

มาถึงศาสตร์เรื่องจิตวิทยา และทัศนคติ โจเล่าว่า เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ตลาดหุ้นจะมี 2 คน คือ "ตัวเรา"  และ "นายตลาด" ตลอดเวลาเราจะซื้อขายหุ้นกับนายตลาด ซึ่งนายตลาดเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บ้าๆ บอๆ วันไหนอารมณ์ดีจะมาเสนอซื้อหุ้นเราในราคาสูงๆ แต่หากวันไหนอารมณ์หดหู่ มองโลกในแง่ร้าย จะมาเสนอขายหุ้นให้เราในราคาต่ำๆ ฉะนั้นเรามี 2 ทางเลือก คือ 1. หาประโยชน์จากนายตลาด หรือ 2. ตกอยู่ในอิทธิพลของนายตลาด ดังนั้นหากเราเลือกถูกทาง ก็ไม่ต้องกลัวหุ้นตก 


"ผมพนันเลยว่ากว่า 90% ของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น จะกลายเป็นนายตลาดเสียเอง ยิ่งเขาไม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากนายตลาดได้ เขาก็จะ “เจ๊ง” เห็นคนชอบขายหุ้นตอนราคาต่ำๆ แล้วไปไล่ซื้อช่วงสูงๆ..ถ้าเรามั่นใจถือเลย ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เชื่อมั้ย! ตอนวิกฤติซับไพร์ม ผมขาดทุนครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ขายของดีราคาต่ำจะขายทำไม! มันไม่สมเหตุสมผล ตรงข้ามเราควรซื้อเพิ่มถ้ามีเงิน อย่าไปหวั่นไหวตามตลาด คนที่อดทนผมรับรองไม่สำเร็จมากก็สำเร็จน้อยอย่างแน่นอน" เขากล่าวอย่างมั่นใจ

โจบอกว่า ทุกๆ วันจะมองหาหุ้นที่จะซื้อตลอดเวลา มองหุ้นบางตัวอยู่แต่ราคาอาจแพงไปนิด แถมโอกาสชนะมีแค่ 50% ถ้าเป็นแบบนั้น "จะยังไม่ซื้อ" เพราะโอกาสชนะแค่ 50% เหมือนเรา "เล่นการพนัน" จะซื้อก็ต่อเมื่อโอกาสชนะต้องมากถึง 80-90% เท่านั้น

“ที่ผ่านมาผมลงทุนในตลาดหุ้น 100% ตลอด จากสถิติพบว่าตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ก่อตั้งในปี 2518 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี สูงสุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทุกประเภท ผมยังเชื่อว่าระยะยาวตลาดหุ้นยังจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดต่อไป” และ "โจ..ลูกอีสาน" ก็จะฝังตัวอยู่ในตลาดหุ้น ที่ที่เขารักตลอดไป!!!

รวยแล้ว!!! ยังอาศัยบ้านพักข้าราชการ สำหรับเป้าหมายการลงทุน อนุรักษ์ บุญแสวง บอกว่า ในปีนี้ ขอผลตอบแทน 30% ก็พอใจแล้ว แต่ระยะยาวอยากได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี คนที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ทำได้เท่านี้ แต่เขาทำได้ติดต่อกัน 50 ปี ถามว่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า อยากมีพอร์ตสูงขึ้นเป็นระดับเท่าไร มาถึงตอนนี้ "ผมพอใจแล้ว"

ทุกวันอนุรักษ์จะตื่นเช้าไปส่งลูกทั้ง 3 คน ไปโรงเรียน (ลูกชายคนโต 9 ปี ลูกชายคนรอง 7 ปี ลูกสาวคนสุดท้อง 3 ปี) ส่งเสร็จจะกลับมาอ่านข่าว บจ.ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ และอ่านบทวิเคราะห์ โดยจะไม่ฟังคำแนะนำของมาร์เก็ตติ้ง

"ผมถือคติว่า ฟังคนอื่นหรือลอกหุ้นคนอื่นชีวิตการลงทุนคงไม่รอด ที่ผ่านมาผมปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ใช้ “อินไซเดอร์” ถึงได้กำไรก็ไม่ภูมิใจ เราโกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ ไม่อยากเงยหน้าอายฟ้า ก้มหน้าอายดิน"
สำหรับเงินที่ได้กำไรจากการลงทุน โจไม่เคยนำไปซื้อบ้านหรือที่ดินทุกวันนี้ครอบครัวเขายังอยู่บ้านพักข้าราชการ (ภรรยาเป็นอาจารย์) เขามองว่า สินทรัพย์ประเภทนั้นไม่ได้สร้างรายได้ให้มากมาย และไม่เคยซื้อทองคำ ลองดูราคาย้อนหลัง 30 ปี ผลตอบแทนทองคำ "ห่วยที่สุด" แต่คนมองว่าทองคำดีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

"ผมมีซื้อที่ดินในจังหวัดพังงา 40-50 ไร่ ให้พี่ชาย (อายุห่างกัน 2 ปี) นำไปปลูกปาล์มและทำสวนยาง ให้เขามีอาชีพเลี้ยงตัวเอง"

ปัจจุบันอนุรักษ์ซื้อขายหุ้นหลายโบรกเกอร์ที่ บล.เอเซีย พลัส, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ไทยพาณิชย์, บล.ภัทร และ บล.ธนชาต ถามว่าทำไม! ต้องเล่นหลายโบรก เขาตอบว่า อยากได้งานวิจัยที่หลากหลายและดีที่สุด นอกจากนี้แต่ละโบรกเกอร์มีโปรแกรมการซื้อขายไม่เหมือนกัน ส่วนตัวมองว่า บล.เอเซีย พลัส มีงานวิจัยดีที่สุด

เซียนหุ้นร้อยล้าน กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้นักลงทุนที่ยังไม่ถึงเป้าหมายศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด อย่าไปคิดว่าซื้อแล้วหุ้นต้องขึ้นทันที ให้คิดว่าเรา "ซื้อธุรกิจ" ถ้าใครไม่พร้อมก็ให้ไปซื้อกองทุนรวมแทนก็ได้ ปัจจุบันมีหลายกองทุนสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี

"ผมอยากฝากถึงนักลงทุนทุกคนว่า ถ้าอยากมีชีวิตหลังเกษียณที่ดีควรรีบลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ หุ้นเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ก็ต้องลงทุนด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง คือ มองหุ้นให้เป็นธุรกิจ และมีอารมณ์ที่มั่นคง หุ้นจึงจะกลายเป็น “บ่อเงินบ่อทอง” ขุดเท่าไรก็ไม่หมด แต่ถ้าลงทุนผิดวิธีมีเท่าไรก็หมดได้" 

Sunday, September 23, 2012

ทฤษฎีลงทุน 10 เด้ง 'สถาพร งามเรืองพงศ์'

ทฤษฎีลงทุน 10 เด้ง 'สถาพร งามเรืองพงศ์' เซียนหุ้นวัย 25 ปี
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เริ่มเล่นหุ้นตอนเรียนปี 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ "แอบพ่อ-โอ๋แม่" ทุบกระปุกเงินเก็บแตะเอีย 100,000 บาท หว่านล้อมให้แม่ไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นให้ที่ บล.ธนชาต ใช้ชื่อตัวเองไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป เวลาสั่งซื้อขายหุ้นก็ให้ส่งจดหมายไปที่บ้านญาติเพราะกลัวพ่อรู้ พ่อมี "อคติ" กับตลาดหุ้น มองว่าการเล่นหุ้นไม่ต่างอะไรกับ "เล่นการพนัน"

เด็กหนุ่มฮงในวัยเพียง 19-20 ปี ใช้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ออกตระเวนไปแสวงหาความรู้ตามตลาดหลักทรัพย์ และโบรกเกอร์ต่างๆ รู้ว่าที่ไหนมี "สัมมนาฟรี" เด็กหนุ่มเป็นต้องขวนขวายไปฟัง บางครั้งต้องหาวิธีหลอกล่อเจ้าหน้าที่สารพัดเพราะไม่ใช่ลูกค้าของโบรกเกอร์นั้น
ครั้นระหว่างพักทานอาหารว่างและหลังงานสัมมนาเลิก เด็กฮงก็จะวิ่งไปเกาะติดวิทยากรขุดคุ้ยถามประเด็นที่ตนสงสัย แต่บ่อยครั้งที่เด็กฮง "ถูกมองข้าม" วิทยากรบางคนเห็นหน้าละอ่อนยังเป็นเด็กก็ไม่ยอมตอบคำถามไม่ให้ความสำคัญ จนเขาพูดกับตัวเองว่า "โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม" แม้จะทรมานกับสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับไอ้ตี๋จอมเซ้าซี้ แต่ฮงก็พยายามหาความรู้จากหนังสือ และเว็บไซต์ต่างๆ เพิ่มเติมจนแม่เห็นความตั้งใจจริง 

จากเงิน "หลักแสน" พอร์ตของเด็กฮงก็ค่อยๆ งอกเงยอย่างรวดเร็ว แม่จึงเติมทุนให้แต่ก็ไม่ได้มากมาย ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี (อายุ 19-25 ปี) "ฮง" สถาพร งามเรืองพงศ์ กลายเป็น "เซียนหุ้นวัยรุ่น" ชื่อดังมีพอร์ตใหญ่ "หลายสิบล้านบาท" พ่อของฮงที่มีอาชีพค้าเสื้อยืดย่านพระราม 2 วันนี้ยอมรับในตัว "ลูกชายคนเล็ก" ของครอบครัวคนนี้ ครอบครัวของเขาเพิ่งเปลี่ยนอาชีพไปปลูกต้นลีลาวดีขายบนเนื้อที่ 33 ไร่ ย่านบางขุนเทียนชื่อสวน "ลีลาวดีภิรมย์" 
ฮงคุยว่าเงินลงทุนของเขาเพิ่มขึ้นราวๆ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) ขณะที่พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า ภายในเวลา 7 ปี (2547-2553) หลังประสบความสำเร็จอย่างแรงฮงพัฒนาตัวเองไปเป็น "วิทยากร" เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการลงทุน มีนักลงทุน "รุ่นพี่-รุ่นอา" จองที่นั่งเข้าฟังจำนวนมาก อีกทั้งนามแฝง Hongvalue ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างดีใน "เว็บบอร์ด" แวลูอินเวสเตอร์ 
แม้ฮงแฝงตัวกลมกลืนกับแวลูอินเวสเตอร์ (VI) แต่เขาก็นิยามตัวเองเป็น "ลูกครึ่ง Value Investor" 
"ผมจะลงทุนกึ่งแวลู จะผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งต่างจากนักลงทุน Value ทั่วไป แต่วันนี้มีนักลงทุน VI รุ่นใหม่ยึดแนวทางนี้เพิ่มขึ้น เพราะพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดีมาก" 
ฮงกล่าวว่า การจะซื้อหุ้นสักหนึ่งตัว นักลงทุนควรต้องดูทั้งปัจจัยพื้นฐานและกราฟเทคนิคควบคู่กันไป เพราะการดูกราฟย้อนหลังจะทำให้เห็น Demand และ Supply ของหุ้นในอดีต ที่สำคัญจะเห็นจุด "นิวไฮ" ของหุ้นด้วย
"สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เหมือนนักลงทุนหุ้นคุณค่าทั่วไปคือ ผมยอมรับการขาดทุนได้บ้าง แต่ถ้าเป็นนักลงทุน VI แท้ๆ ต้องไม่มีคำว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) แต่ผมคิดแบบนั้นไม่ได้ตราบใดที่ยังชื่นชอบการเล่นหุ้นคอมมูนิตี้ (สินค้าโภคภัณฑ์) ที่สำคัญนักลงทุน VI จะไม่ดูกราฟดูปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว เขามองว่าดูกราฟเหมือนมองกระจกหลัง มันเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถสะท้อนธุรกิจในปัจจุบันหรือในอนาคตได้" 
สำหรับเทคนิคการลงทุนฮงจะเน้นดูปัจจัยพื้นฐาน 70% อีก 30% จะดูเทคนิเคิล และกราฟหุ้นย้อนหลัง หลายครั้งเขาบอกว่ากราฟหุ้น "ช่วยชีวิต" ไว้ ทำให้ไม่ต้อง "ขายหมู" (ขายถูก) ให้คนอื่น โดยเขายอมลงทุนเสียเงินปีละ 20,000 บาท ติดตั้งโปรแกรม APEX เพื่อดูกราฟราคาหุ้นโดยเฉพาะ 
ยกตัวอย่างผลดีจากการดูกราฟ เช่น ราคาหุ้นทำนิวไฮ 10 บาท อยู่ดีๆ ลงมา 8-9 บาท แล้วซื้อขาย 8-9 บาทนานพอสมควร อยู่ๆ ก็วิ่งขึ้นไป 10 บาท โดยมีวอลุ่มเข้ามาเยอะมาก เหตุการณ์ลักษณะนี้ทำให้คิดได้ว่าบริษัทนี้ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง "ผมก็จะเริ่มตรวจสอบข้อมูลทันที" บางครั้งฮงเริ่มแกะรอยจากหุ้นที่มี "วอลุ่มผิดสังเกต" จากนั้นก็จะคัดเลือกหุ้นที่ "สวย" (ผลประกอบการดีที่สุด) เข้าพอร์ต
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเลือกหุ้นที่ "เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ของกำไร" และต้องอ่านเกมต่อไปว่า "ไตรมาสที่เหลือ" ของปีนั้นๆ ต้องสามารถรักษากำไรสุทธิระดับนี้ (ดี) ได้ต่อเนื่อง ขั้นตอนจากนั้น ต้องเลือกหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 6-7% ต่อปี และข้อสุดท้าย ต้องเลือกหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า P/E ของกลุ่ม...เหล่านี้คือคุณสมบัติเบื้องต้นของหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูงจากการลงทุน
เมื่อได้หุ้นที่เข้าข่ายกำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และค่า P/E ไม่สูง (ราคาหุ้นยังไม่แพง) ได้แล้ว ฮงก็จะเริ่มปฏิบัติการวิเคราะห์เจาะลึก "งบการเงิน" ทันที โดยเน้นหนักไปที่ "กระแสเงินสด" ของกิจการ พยายามดูย้อนหลังให้ได้มากที่สุด
โดยเฉพาะในส่วนของความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ (EBITDA) ต้องมีตัวเลขใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต้องไม่เกิน 1 เท่า และควรเป็นหนี้สิน (หมุนเวียน) ที่ไม่มีดอกเบี้ย 
เท่านั้นยังวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฮงจะทำการวิเคราะห์ "โครงสร้างธุรกิจ" ผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ทำกำไรให้บริษัท รวมทั้งอ่านบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ ที่เขียนถึงหุ้นตัวนี้ รวมทั้งค้นหาบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารมาอ่านเพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นที่จะวางเดิมพันราคาต้อง "วิ่ง" ชัวร์! 
"ผมจะอ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ ที่โบรกเกอร์ส่งมาในอีเมล์ทุกเช้า รวมถึงอ่านบทสัมภาษณ์ผู้บริหารเพื่อให้เห็นทิศทางของบริษัท ส่วนใหญ่จะใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเพียง 2 วัน"
เมื่อหาข้อมูลครบถ้วนแล้วก็จะเริ่มทำ "ประมาณการผลประกอบการล่วงหน้า" เพื่อประเมินราคาที่เหมาะสมในอนาคต สำหรับวิธีการเข้าเก็บหุ้นจะใช้สูตร 30:30:30:10 ซื้อแล้วหุ้นขึ้นถึงซื้อ "สเต็ปที่สอง" "สเต็ปที่สาม" และ "สเต็ปที่สี่" 
หมายความว่าซื้อครั้งแรก 30% สเต็ปที่สอง (อีก 30%) จะซื้อเพิ่มก็ต่อเมื่อราคาหุ้นขยับตัวเพิ่มขึ้น 7-8% ถ้าซื้อ 30% แรกแล้วราคาไม่ขึ้นก็จะรอไปก่อน "ยังไม่ซื้อ" ตรงกันข้ามถ้าซื้อแล้ว 30% ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 8% ก็จะ Cut Loss (ตัดขายขาดทุน) ทิ้งทันที ถ้าทิ้งไว้นานเดี๋ยว "ออก(ของ)ไม่ได้" 
เทคนิคที่ทำให้พอร์ตโตเร็ว 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) เวลาตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ "กระทิง" หรือ "ขาขึ้นใหญ่" และมั่นใจหุ้นสุดๆ เขาจะใช้ "เงินกู้มาร์จิน" เพิ่มพลังบวกให้กับพอร์ต 
ทุกวันนี้ศูนย์บัญชาการของฮงอยู่ที่บ้านแล้วสั่งซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ที่บ้านย่านพระราม 2 จะกั้นห้องไว้สำหรับนั่งดูหุ้นโดยเฉพาะภายในมีทีวี LCD 60 นิ้วตั้งอยู่กลางห้อง กิจวัตรประจำวันฮงจะตื่นนอนมานั่งในห้องนี้ตั้งแต่ 9 โมงเช้าแล้วอ่านข้อมูลทุกอย่างเริ่มตั้งแต่บทวิเคราะห์ หนังสือพิมพ์ เข้าเว็บบอร์ด Thaivi.org เหตุที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะเสียค่าคอมมิชชั่นเพียง 0.1% ถ้าโทรศัพท์สั่งผ่านมาร์เก็ตติ้งต้องจ่าย 0.15% (รายย่อยต้องจ่าย 0.25%) 
"โดยปกติผมจะปรับพอร์ตลงทุนทุกไตรมาส (3 เดือน) เพราะสถานการณ์มักมีการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่งบการเงินประจำไตรมาสออก ผมจะนำข้อมูลที่ผู้บริหารบอกผ่านสื่อกับบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์มานั่งคำนวณตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสถัดไป"
อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จฮงจะ "เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม" ประมาณ 7-8 คน เทคนิคการเล่นจะคล้ายๆ กัน พวกเขานัดเจอกันที่ "สโมสรทหารบก" ทุกๆ 2 สัปดาห์ ไม่วันเสาร์ก็วันอาทิตย์ เว้นว่าช่วงไหนตลาดหุ้นดีๆ ก็จะเจอกันสัปดาห์ละครั้ง กิจกรรมที่ทำจะเช่าห้องฉายโปรเจ็คเตอร์เพื่อแชร์ข้อมูลกัน คนไหนถนัดดูกราฟก็จะมาบอกว่าเส้นกราฟเทคนิคหุ้นตัวไหนสวย ใครถนัดพื้นฐานก็จะนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง
ส่วนการซื้อขายแต่ละคนจะตัดสินใจเอาเองไม่ค่อยบอกกัน ถ้ามีหุ้นตัวไหนเข้าตาฮงชอบสั่งซื้อหุ้นวันจันทร์ ซื้อเสร็จไม่เคยกำหนดว่าต้องถือยาวหรือสั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์จะเป็นตัวบอก แต่เขาจะเตือนตัวเองเสมอว่า "เล่นหุ้นต้องเล่นแบบ "ไร้ใจ" ถ้าใช้อารมณ์เล่นหุ้น (รัก-โลภ-โกรธ-หลง) มีโอกาสขาดทุนสูง ผมจะพยายามคิดเสมอว่าหุ้นตัวนี้ไม่ใช่ญาติเรา ไม่รัก ไม่เกลียด" 
ในยามที่ตลาดหุ้นไม่น่าไว้วางใจฮงจะเล่นหุ้นด้วยบัญชีเงินสด ปัจจุบันซื้อขายประจำอยู่ที่ บล.เคทีซีมิโก้ ตามมาร์เก็ตติ้งคู่ใจย้ายมาจาก บล.พัฒนสิน
ล่าสุดในพอร์ตมีหุ้นอยู่ 3 ตัว ได้แก่ BCP ต้นทุน 21 บาท มองว่าหุ้นบางจากราคายังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ถ้าผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาสวยเหมือนไตรมาสแรก ก็อาจปรับราคาเป้าหมายขึ้นไปอีก บางจากถือเป็นหุ้นโรงกลั่นตัวเดียวที่มีค่า P/BV ต่ำที่สุด
อีกตัวที่ลงทุนอยู่คือหุ้น HEMRAJ ซื้อมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว ต้นทุนแถว 2.10 บาท ชอบเพราะปี 2555 จะมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าทำให้บริษัทมีความมั่นคงมากขึ้น และหลังเกิดสึนามิทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานการผลิตมาเมืองไทย เหมราชก็จะได้ประโยชน์ 
ตัวสุดท้ายที่ลงทุนคือหุ้น CENTEL ตัวนี้ต้นทุน 7.30 บาท เก็บเพราะเห็นว่าผลประกอบการในไตรมาส 1 ปีนี้พลิกจากปี 2553 ขาดทุน 51 ล้านบาท มาเป็นกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิวไฮในรอบ 5 ปี เพราะธุรกิจอาหารเติบโตมากขึ้น ธุรกิจโรงแรมก็ยังขยายตัวได้ดีอัตราการเข้าพักเพิ่มจาก 50-60% เป็น 70%
นอกจากหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้แล้ว หุ้นตัวอื่นๆ ฮงบอกว่า ตอบตรงๆ ตอนนี้ยังหาตัวที่ถูกใจไม่เจอเลย วันนี้ยอมรับว่าสนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ แต่ยัง "เล่นยาก" เคยถามคนที่ลงทุน "หุ้นจีน" เขาบอกว่า "น่ากลัวมาก" บริษัทจีนมีการลงบัญชีไม่ค่อยโปร่งใสถ้าสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังขาดทุน ถ้ามีประสบการณ์แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง

ถามว่าเคยคิดอยากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ เด็กหนุ่ม ตอบว่า แม้การซื้อหุ้นคือ "การซื้อธุรกิจ" แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากเข้ามาบริหาร "ผมไม่คิดที่จะ “ผูกพัน” กับหุ้นตัวไหน แค่ต้องการเข้ามา “เสพสุข” (จากกำไร) เท่านั้น ได้ตามเป้าหมายแล้วก็จะไป" 
ฮงเล่าว่า ตลาดหุ้นสมัยนี้คนอายุ 22-23 ปีขึ้นไป เข้ามาเล่นหุ้นกันค่อนข้างมาก จบปริญญาโทมาเล่นหุ้นก็มีเยอะ ส่วนตัวอยากแนะนำ "มือใหม่ที่เพิ่งหัดคลาน" ว่า ควรเริ่มลงทุนด้วยเงิน "ก้อนเล็กๆ" ก่อนสัก 100,000 บาท หากยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วหุ้นที่ใช้ "ฝึกมือ" ควรเป็นพวกหุ้น "โรงไฟฟ้า-ค้าปลีก" เพราะธุรกิจเข้าใจง่าย ราคาหุ้นไม่ผันผวนมาก เมื่อมีประสบการณ์แล้วก็ค่อยขยับมาเล่นหุ้นยากๆ อย่างกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งหุ้นพวกนี้ถ้าจับจังหวะถูกจะได้กำไรเยอะ (รวยเร็ว)
"หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ผมจะถนัดกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทแผ่นฟิล์ม สินค้าเกษตร กลุ่มอื่นๆ ยอมรับว่ายังไม่ค่อยชำนาญ"
ฮงย้ำว่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุนจำนวนมากชอบซื้อหุ้นตามคำแนะนำของเพื่อน หรือซื้อตามโบรกเกอร์โดยที่คุณไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย เท่าที่พบ 90% จะขาดทุน คนที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น (ยุคนี้) ต้องศึกษาหาความรู้ รู้ทุกซอกทุกมุมของหุ้น 

เซียนหุ้นอัจฉริยะ

เซียนหุ้นอัจฉริยะ 

เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
ที่มา..นสพ.กรุงเทพธุรกิจ

อายุเพียง 25 ปี 'ฮง' เด็กหนุ่มที่พ่อแม่ค้าเสื้อยืดย่านพระราม 2 เล่นหุ้นตั้งแต่เรียนปี 1 'ม.กรุงเทพ' ปั่นเงินจาก 'หลักแสน' เพิ่มเป็น 'หลายสิบล้าน' ภายใน 7 ปี..ฝันอีก 'สิบปี' พอร์ตแตะ 300 ล้านบาท

"ฮง" สถาพร งามเรืองพงศ์ ชื่อนี้แทบไม่เป็นที่รู้จักในวงการตลาดหุ้น แต่ถ้าเอ่ยนามแฝง "ฮงแวลู" (Hongvalue) เซียนหุ้น "วัยรุ่น" รายนี้เป็นที่รู้จักอย่างดีในเว็บบอร์ด Thaivi.com ที่วันนี้เริ่มอัพเกรดตัวเองไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องหุ้นให้กับนักลงทุนกลุ่มเล็กๆ หลังชีวิตการลงทุนตลอด 7 ปีประสบความสำเร็จอย่างงดงามมีพอร์ตลงทุน "หลายสิบล้านบาท" 


ตี๋หนุ่มวัยเพียง 25 ปีรายนี้เลือกเดินในอาชีพ "นักเล่นหุ้น" อย่างแน่วแน่ และกำลัง "ป็อปปูล่า" วัดความดังได้จากงานสัมมนาเล็กๆ ที่ฮงและก๊วนเพื่อนร่วมกันแชร์ประสบการณ์ในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ (ซับไพร์ม) ปี 2551 ที่เขาได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 10 เท่าตัวหากรู้จักเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐาน เปิดให้จองที่นั่งเข้าฟังบรรยายเพียงไม่กี่ชั่วโมงมีนักลงทุนรายเล็กรายใหญ่ แห่จองกันเต็ม 230 ที่นั่ง

หลังจบงานสัมมนามีคนตามทวิตเตอร์ของ Hongvalue เพิ่มขึ้นกว่า 100 คน เขายกตัวอย่างหุ้นที่เคยทำเงินเข้ากระเป๋าได้อย่าง “มหาศาล” ในช่วงหลังวิกฤติปี 2551 นั่นคือ หุ้นเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และหุ้นโพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) (PTL) รวมถึงหุ้นอีกหลายตัวที่ทะยานขึ้นอย่างมาก


ตี๋หนุ่มคุยว่าพอร์ตลงทุนของตัวเองเติบโตก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวง Value Investor มากขึ้นหลังสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี ขณะเดียวกันถ้าวัดตั้งแต่เริ่มลงทุนปี 2547-2553 ภายในระยะเวลา 7 ปี พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า 


"ฮง" เซียนหุ้นอัจฉริยะรายนี้เป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 3 คน เขาเล่าว่า พี่ชายคนโตปัจจุบันอายุ 33 ปีคนนี้ก็เล่นหุ้นเหมือนกันแต่มูลค่าพอร์ตลงทุนยังไม่ใหญ่ประมาณ 3 ล้านบาท พี่ชายจะเน้นดูเทคนิเคิลมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน ส่วนพี่สาวคนรองอายุ 29 ปี เรียนจบแพทย์ ปัจจุบันเดินทางไปศึกษาต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง สาขาช่องท้อง ที่สหรัฐอเมริกา


ฮงกล่าว่าครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยมีฐานะพอกินพอใช้ พ่อแม่ทำธุรกิจผลิตเสื้อยืดขายย่านถนนพระราม 2 มานานกว่า 20 ปี เพิ่งเลิกทำไปเมื่อต้นปี 2554 นี้เอง และหันไปปลูกต้นลีลาวดีขาย ชื่อว่า "สวนลีลาวดีภิรมย์" บนเนื้อที่ 33 ไร่ ย่านบางขุนเทียน


ประสบการณ์เล่นหุ้นครั้งแรกของฮงต้อง "แอบพ่อ" ที่ไม่อยากให้ลูกชายเข้าไปข้องแวะกับตลาดหุ้น โดยเริ่มลงทุนครั้งแรกในชีวิตเมื่อปลายปี 2547 ช่วงนั้นเรียนอยู่ปี 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีเงินลงทุนก้อนแรก 100,000 บาท เป็นเงิน "แต๊ะเอีย" ที่เก็บสะสมมาจากญาติๆให้แต่ละปีรวมกับเงินเก็บ เงินเก็บก้อนนี้ถูกพ่อแม่บังคับให้เอาไปเข้าธนาคารกลัวลูกเอาไปซื้อเกมส์มาเล่น


สำหรับผู้ที่จุดประกายให้ฮงเข้าสู่ตลาดหุ้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมมาด้วยกัน เห็นเพื่อนซื้อหุ้น SHIN ที่ต้นทุนหุ้นละ 26-27 บาท ไปขายตอนราคา 40 บาท ได้กำไรประมาณ 50% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนจากคำแนะนำของญาติ ทำให้เด็กหนุ่มมีความฝันอยากได้กำไรอย่างเพื่อนคนนั้นบ้าง


แม้วันนี้พอร์ตลงทุนของฮงจะเติบโตขึ้นอย่างมากจากเมื่อ 7 ปีก่อน จากหลัก "แสนบาท" เป็นหลัก "สิบล้านบาท" แต่นั่นยังไม่ใช่เป้าหมาย 


"ภายใน 10 ปีข้างหน้า (2554-2563) ผมต้องการมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 300 ล้านบาท เติบโตให้ได้เฉลี่ยปีละ 20% นี่คือเป้าหมายของผม" สถาพร กล่าวกับทีมงาน กรุงเทพธุรกิจ BizWeek โดยมั่นใจว่าตัวเลขนี้ทำได้แน่นอน ทุกวันนี้ฮงเป็นนักลงทุน Full Time หลังค้นพบว่าการเล่นหุ้นเป็นทางเดินชีวิตที่มาถูกทาง 

"แม้ผมจะอายุยังน้อยในสายตาใครต่อใคร แต่ก็ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติการเงิน (ซับไพร์ม) มาแล้ว เรียกได้ว่าผ่านมาแล้วทุกบรรยากาศ แล้วก็ทำได้ดีด้วย" เขาไม่ลืม "คุย"


ฮงจัดเป็น "เซียนหุ้นอัจฉริยะ" ที่จับทางตลาดหุ้นออกในเวลาอันรวดเร็ว เขารู้ว่าหุ้นแบบไหนจะขึ้นเยอะ และควรลงทุนสไตล์ไหนถ้าจับถูกตัว 


"วันนี้ผมจับจุดถูกรู้ว่าจะลงทุนหุ้นสักหนึ่งตัว ต้องดูอะไรเป็นหลัก ถ้าผมจะพลาดก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเท่านั้น เพราะเหตุการณ์แบบนั้นคงไม่มีใครตั้งตัวขายหุ้นทัน"

การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอายุยังน้อยฮงต้องศึกษาทำการบ้านอย่างหนัก เขาศึกษาแนวทางการวิเคราะห์หุ้นแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ ปีเตอร์ ลินช์ อย่างแตกฉาน ทั้ง 2 กูรูยังเป็น "ไอดอล" ที่ฮงฝันอยากเป็น

"ผมคิดว่าคำสอนที่สำคัญที่สุด การซื้อหุ้นคือการซื้อธุรกิจ ถ้าซื้อเพราะคิดว่าราคาหุ้นจะขึ้น รับรองไม่มีทางได้กำไร(รวย)"

ครั้งแรกที่เล่นหุ้นฮงไปเปิดพอร์ตกับบล.ธนชาต ใช้ชื่อตัวเองไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป ต้องใช้ชื่อคุณแม่เป็นคนเปิดพอร์ต เวลาสั่งซื้อขายก็ให้ส่งจดหมายไปที่บ้านญาติเพื่อไม่ให้คุณพ่อรู้ เพราะพ่อมี "อคติ" กับตลาดหุ้นมองว่าการ “เล่นหุ้น” ไม่ต่างอะไรกับ “เล่นการพนัน” ในความเป็นจริงคุณแม่ก็ไม่ชอบให้เล่นหุ้น แต่ทนรบเร้าหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายไม่ไหว เมื่อเห็นความตั้งใจจริงแม่ก็เลยยอม

"ยอมรับตรงๆ ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องซื้อหุ้นกลุ่มไหน มีวิธีการลงทุนอย่างไร ดูไม่เป็นสักอย่าง ผมเริ่มต้นแสวงหาความรู้ตัวคนเดียว (ชวนเพื่อนแต่เขาไม่ไป) ผมไปนั่งฟังงานสัมมนาฟรีต่างๆ เมื่อก่อนโบรกเกอร์หลายแห่งจะชอบจัดอบรมดูงบการเงินวันเสาร์-อาทิตย์ รู้ว่าที่ไหนมีฟรีผมไปหมด"

เขาเล่าว่า บางงานไม่ให้เข้าเพราะไม่ใช่ลูกค้าเขา ก็ต้องหาเหตุผลสารพัดไปหลอกเจ้าหน้าที่หน้าห้องว่าขอเข้าไปฟังก่อนนะครับ..ถ้าโอเค! เดี๋ยวจะกลับมาเปิดพอร์ตด้วย แต่ก็มีบางงานที่ฮงถูกปฏิเสธกับเหตุผลตื้นๆ แต่เมื่อไปถึงแล้วเขาก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าไปฟังวิทยากรบรรยาย แถมยังเกาะติดนอกรอบไปขุดไปคุ้ยไขข้อข้องใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

"เมื่อก่อนผมเจ็บใจมาก ด้วยความที่เรายังเด็กอายุแค่ 20 ปี เวลาไปถามวิทยากรนอกรอบงานสัมมนาต่างๆ เขาเห็นเราเด็กก็มักไม่ยอมตอบ แต่จะหันไปตอบคำถามคนอื่นที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ตอนนั้นในหัวผมคิดว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม มันทรมานมากช่วงนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร"

ฮงขวนขวายหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอ่านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในใจเขาคิดว่าต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ไปงานสัมมนามากๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเอง กว่าเขาจะได้ "วิชา" มาทำกำไรอย่างเป็นล่ำเป็นสันในตลาดหุ้นต้องใช้ความทุ่มเท ฮงยังค้นไม่พบความลับการลงทุน 1 ปีครึ่งผ่านไป การลงทุนของเขาไม่ได้กำไรเลยเพราะยังดูงบการเงินไม่เป็น และอ่านอนาคตธุรกิจไม่ออก ตอนนั้นฮงตัดสินใจซื้อหุ้น TTA ADVANC และ TPC 

"เท่าที่จำได้ซื้อหุ้น ADVANC ราคา 95 บาท ขาย 105 บาท และซื้อหุ้น TPC ราคา 210 บาท ขายขาดทุน 190 บาท ส่วนหุ้น TTA จำราคาซื้อขายไม่ได้ เมื่อเริ่มดูงบการเงินเป็นนิดหน่อย พอรู้ว่าต้องเลือกบริษัทที่ไม่เป็นหนี้ และมีกระแสเงินสดเยอะๆ ก็เลยซื้อหุ้น CSL จำเหตุผลที่ซื้อและถือยาว 7-8 เดือนได้ว่าเป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 4 ครั้ง แถมมีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 8-10% ที่สำคัญเห็นว่าอนาคตกำไรจะเติบโตสูง ตอนนั้นซื้อมา 5-6 บาท พอขึ้นมา 9 บาทก็ขาย ถือเป็นหุ้นตัวแรกที่ได้กำไรเป็นเนื้อเป็นหนังจากการลงทุน"

เมื่อเริ่มเห็นผลงาน (กำไร) และความแน่วแน่ที่จะเดินในอาชีพ "นักเล่นหุ้น" แม่จึง "เพิ่มทุน" ให้อีกหลัก "แสนบาท" เพื่อนำไปลงทุนหุ้น CPALL จำนวน 100,000 หุ้น ต้นทุน 7 บาท พอปลายปี 2551 ก็ขายไปที่ราคา 11 บาท เพราะช่วงนั้นเกิดวิกฤติการเงินโลก (ซับไพร์ม) หุ้นทุกตัวลงหมด แต่หุ้น CPALL ไม่สะทกสะท้าน แต่ฮงกลัวเลยตัดทิ้งไปก่อน "ตอนนั้นผมกลัวติดยอดดอยแล้วลงไม่ได้"

หลังจากนั้นก็คิดจะนำเงินไปซื้อหุ้น PS แต่ภาวะเศรษฐกิจช่วงนั้นไม่ดี ฮงวิเคราะห์ว่าหุ้นพฤกษาจะไม่สามารถขายที่อยู่อาศัยได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจ "กำเงินสด" เกิน 5 แสนบาทไว้ในมือ

“ที่แม่ตัดสินใจให้เงินเพิ่มเพราะเห็นว่าผมจริงจังมาก เสาร์-อาทิตย์ไม่เคยอยู่บ้านไปอบรมเกี่ยวกับเรื่องหุ้นตลอด อีกเหตุผลหนึ่งแม่มองว่าที่ผมสนใจการลงทุน ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นสามารถคุยกับผู้ใหญ่รู้เรื่อง” 


ความมุ่งมั่นศึกษางบการเงินอย่างจริงจัง ฮงเริ่มแตกฉานและมั่นใจในตัวเอง เขากำเงินสดไว้ในมือเพียง 2 เดือน ก็นำไปลงทุนต่อในหุ้น AP และ TOP แต่ยังไม่กล้าเล่นเต็มพอร์ต สาเหตุที่เลือกซื้อ TOP เพราะก่อนหน้านั้นไทยออยล์มีกำไรต่ำมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงฮวบฮาบ และราคาน้ำมันก็ผกผันกับเงินดอลลาร์ เขาวิเคราะห์ว่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวราคาน้ำมันก็น่าจะขึ้น จึงคาดว่ากำไรของบริษัทจะต้องพลิกกลับมาดีขึ้นอย่างมาก


พอก้าวเข้าสู่ไตรมาส 3 ปี 2552 ฮงเข้าเก็บหุ้น CPF ตัวนี้ทำให้เขารวยขึ้นอีกขั้น เขาทุ่มเล่นบัญชีเงินสด 100% และอัดมาร์จิ้นอีก 80% เพราะมองว่า CPF ต้องเป็นหุ้น "ป็อกเด้ง" แน่นอน


"ช่วงนั้นผมอัดมาร์จิ้นซื้อหุ้น CPF เต็มแม็ก เพราะกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2552 ออกมา 3,249 ล้านบาท มากกว่าทั้งปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิ 3,128 ล้านบาท ช่วงนั้นผมประเมินว่าทั้งปี 2552 หุ้น CPF น่าจะมีกำไรสุทธิ 9,000 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิวไฮครั้งใหม่ (CPF ประกาศกำไรสุทธิปี 2552 จำนวน 10,190 ล้านบาท) ผมมองว่าธุรกิจเกษตรกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นตามเศรษฐกิจที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว"


อีกอย่างตอนนั้นฮงเช็คราคาขายหมูและไก่เฉลี่ยของปี 2552 ไม่ได้น้อยกว่าปี 2551 แต่ต้นทุนอาหารสัตว์อย่างกากถั่วเหลืงกับข้าวโพดลดลง เพราะคนนำไปทำเป็นพลังงานทดแทนพอราคาน้ำมันตกต่ำความต้องการเอาไปทำพลังงานทดแทน (เอทานอล) หายหมด ซึ่ง CPF ก็รู้เลยตุนกากถั่วเหลืงกับข้าวโพดไว้ แบบนี้จะไม่ให้กำไรเยอะได้อย่างไร


เมื่อผ่านไป 1-2 เดือน ฮงขายหุ้น CPF ได้ราคา 9.60 บาท จากต้นทุนที่ซื้อมา 7.80 บาท เพราะราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 5 วันติดกัน เนื่องจากนักลงทุนคิดว่างบไตรมาส 3 ปี 2552 จะขยายตัวต่อเนื่อง ช่วงนั้นโบรกเกอร์เริ่มทยอยออกมาปรับราคาเป้าหมาย CPF แต่ฮงได้กำไรเข้ากระเป๋า 400,000-500,000 บาท มูลค่าพอร์ตลงทุนพุ่งขึ้นเป็น "หลักล้านบาท" แล้ว 


"จากนั้นคุณแม่ก็เติมเงิน (เพิ่มทุน) ให้อีกครั้งหลัก "ล้านบาท" คราวนี้มีทุนเยอะทำให้พอร์ตลงทุนขยับเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว หลังจากกำไรหุ้น CPF ก็ไปเข้าหุ้น VNG ตอนนั้นอัดเต็มพอร์ต เพราะเห็นว่างบไตรมาส 4 ปี 2552 มีกำไรต่อหุ้น 0.27 บาท ราคาหุ้นวันนั้น 3 บาท ถ้าวนชัย กรุ๊ป สามารถรักษาระดับกำไรต่อหุ้นได้แบบนี้ เชื่อว่ากำไรต่อหุ้นทั้งปี 2553 จะยืน 1 บาท"


ฮงถือหุ้น VNG แค่ 3 เดือน ขายออกที่ราคา 5 บาท ได้กำไร 70% ทำให้มูลค่าพอร์ตลงทุนของเขาพุ่งขึ้นเป็นหลัก "สิบล้านบาท" เมื่อขายหุ้น VNG เกลี้ยงพอร์ต ก็โยกเงินไปซื้อหุ้น PTL ที่ราคา 7.50 บาท ช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 ทยอยสะสมก่อน 30% ของพอร์ต พอราคาหุ้นขึ้นมา 15 บาท คราวนี้อัดเต็ม 100% ของพอร์ต ใช้มาร์จิ้นซื้ออีก 60% รวมเป็น 160% แล้วไปขายออกในเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ราคา 45 บาท


หุ้นโพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) คือจุดหักเหครั้งสำคัญทำให้ฮงรวยขึ้นมหาศาล "หลายเท่าตัว" พอร์ตของเขาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น "หลายสิบล้านบาท" ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ฮงบอกกับทีมงานกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่าปัจจุบันมูลค่าพอร์ตของเขาเท่าไร แต่ขอไม่ให้เปิดเผยตัวเลขกับสาธารณะ


หลังจากที่ประสบความสำเร็จได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ฮงบอกว่าจากนั้นก็ซื้ออะไรไปเรื่อยเปื่อย เช่น หุ้น TVO และหุ้น STA ตอนที่ช้อนหุ้น TVO ราคาเฉลี่ย 27-29 บาท เพราะเห็นว่าราคาถั่วเหลืองในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,300 เซ็นต์ต่อบุชเชล ภายในเวลา 2 เดือน แต่ถือหุ้นตัวนี้ไม่ถึง 2 เดือน ก็ขายออกในราคา 31 บาทได้กำไรไม่เท่าไร 


ส่วนหุ้น STA ซื้อมา 36 บาท เพราะเห็นว่าราคายางพาราทำจุดสูงสุดใหม่ แต่สุดท้ายก็ยอมขายขาดทุน 35 บาท เพราะราคาหุ้นไม่ขยับตัวตามราคายาง "ตัวไหนถือไว้ดูท่าจะไม่รุ่ง ผมจะขายทิ้ง"


จาก "ไอ้ตี๋หนุ่ม" หน้าละอ่อน ถามใครใครก็เมิน วันนี้กลายเป็น "เซียนฮง" อย่างเต็มภาคภูมิ เจ้าตัวก็เลย "ยืด" ได้ (ขอคุยหน่อย) บอกว่าที่จริงไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แค่รู้ว่าเล่นหุ้นแบบไหนแล้วได้กำไร หลังจากเป็นเศรษฐีย่อมๆ ภายในเวลาไม่กี่ปี วันนี้ครอบครัวแฮปปี้มากพ่อแม่เปลี่ยนทัศนคติแล้วว่าการเล่นหุ้น "ไม่ใช่การพนัน" แต่เป็น "การลงทุน" ที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า


"ผมจะขอยึดอาชีพนักลงทุนเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่คิดไปทำงานอย่างอื่น แต่ถ้ามีเงินตามเป้าหมายอาจแบ่งมาลงทุนทำอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า เท่านี้ชีวิตผมก็มีความสุขแล้ว"


เรื่องราวของ "ฮง" เซียนหุ้นอัจฉริยะยังไม่จบ เขามีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร..? สามารถปั่นเงินจาก "หลักแสน" เป็น "หลายสิบล้านบาท" ได้ อะไรคือความลับการทำกำไรในตลาดหุ้นที่เด็กหนุ่มค้นพบ..สัปดาห์หน้าห้ามพลาด!! 
.......................

เหนือกว่าพรสวรรค์ คือพรแสวง
เหนือกว่าความขยัน คือความพยายามและเรียนรู้อยู่เสมอ
คนคนหนึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายคนเห็นว่า....
อายุเป็นเพียงตัวเลข

Monday, September 17, 2012

QTC , RML


ลงทุนใน Warrant


ลงทุนใน Warrant ยังไงให้ได้ตังค์?

 
วันนี้ขอนอกเรื่องจาก Technical Analysis นิดนึง มาคุยกันเรื่อง Warrant กันนะครับ พอดีว่ามีพี่ที่ผมเคารพเค้าฝากคำถามมา และผมเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ในการลงทุน เพราะราคาของ Warrant วิ่งไวกว่าราคาหุ้นปกติ โอกาสที่จะได้กำไร(ขาดทุน) จึงเร็วและแรงกว่ากำไร(ขาดทุน)ที่ได้จากการลงทุนในหุ้นสามัญ

Warrant คืออะไร?


Warrant คือ ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ ถ้าพูดกันภาษาชาวบ้านก็คือ ถ้าเรามี Warrant ไว้ในครอบครอง เราก็สามารถซื้อหุ้นสามัญตัวนั้นได้ในราคาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน Warrant

ยกตัวอย่างของจริง ได้แก่ MINT-W4 คือ สิทธิในการซื้อหุ้น MINT โดยมีเงื่อนไขกำหนดไว้คือ

MINT-W4 1 ตัว สามารถใช้ซื้อหุ้นได้ 1.1 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 11.818 บาทหมดอายุวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ราคาล่าสุดวันที่ 14 กันยายน 2555 คือ 4.06 บาท


ราคาของ Warrant จะขึ้นหรือลง ขึ้นอยู่กับหุ้นหลัก (บางทีก็จะเรียกว่าหุ้นแม่ โดยมี Warrant เป็นลูก) อย่างเช่น ราคาหุ้น MINT +0.30 บาท MINT-W4 ก็มักจะเพิ่มขึ้นในราคาที่ใกล้เคียงกัน เช่น +0.26 บาท แต่เนื่องจากราคา Warrant จะค่อนข้างถูก การที่ราคาเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกันกับหุ้นแม่ จึงทำให้คิดเป็นเปอร์เซนต์ที่มากกว่า จากตัวอย่างข้างต้น ราคา MINT-W4 คือ 4.06 บาท สมมุติว่าเพิ่มขึ้น +0.26 บาท เป็น 4.52 บาท เพิ่มขึ้น 6.4% ในขณะที่หุ้นแม่อย่าง MINT ราคาสมมุติ 15 บาท เพิ่มขึ้น +0.30 บาทเท่ากับ 2%

ทีนี้เราจะเลือกซื้อ Warrant เมื่อไหร่ดีล่ะ?


เนื่องจาก Warrant เป็นสิทธิ์ในการซื้อหุ้น เราจึงต้องคำนวณมูลค่าของ Warrant เมื่อใช้สิทธิ์แปลงสภาพ (เอา Warrant ไปซื้อหุ้นแม่) โดยการนำมูลค่าทั้งหมดของ Warrant ไปรวมกับเงินที่ต้องจ่ายเพื่อแปลงสภาพ Warrant ให้ได้หุ้นแม่ (Exercise Price) เราก็จะได้ต้นทุนทั้งหมดที่ต้องจ่าย จากนั้นก็นำไปหาราคาต่อหุ้นด้วยการนำจำนวนหุ้นที่ได้ทั้งหมดไปหารกับต้นทุนที่จ่ายไป เราก็จะได้ต้นทุนการแปลงสภาพต่อหุ้น ซึ่งเราจะต้องนำต้นทุนการแปลงสภาพต่อหุ้นนี้ ไปเปรียบเทียบกับราคาหุ้น ณ ขณะนั้น (หรือราคาหุ้นที่เราคาดการณ์ไว้ในอนาคต) 

หากต้นทุนแปลงสภาพต่ำกว่าราคาหุ้นที่เราคาดการณ์เอาไว้ ก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อ Warrant ในทางกลับกัน ถ้าต้นทุนในการแปลงสภาพสูงกว่าราคาที่เราคาดการณ์ เราก็อย่าเข้าไปซื้อเท่านั้นเองครับ :P


จากภาพ สมมุติว่าเรามี MINT-W4 อยู่ 5000 หุ้น ที่ราคา 2.65 บาท เมื่อคำนวณเสร็จสรรพแล้วจะได้ต้นทุนการแปลงสภาพต่อหุ้นอยู่ที่ 14.2 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นสูงกว่าต้นทุนของค่อนข้างมาก หากเราแปลงสภาพตอนนี้และนำหุ้นที่แปลงสภาพมาแล้วไปขายในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะได้กำไร แต่โดยปกติแล้ว ราคาของ Warrant ก็มักจะขึ้นไปสู่ระดับที่ทำให้ต้นทุนการแปลงสภาพมีค่าใกล้เคียงกับราคาหุ้นแม่ ดังนั้น การคาดการณ์ราคาหุ้นแม่จึงเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรามั่นใจว่าหุ้นแม่ขึ้นแน่ๆ แต่เรามีเงินไม่พอซื้อหุ้นแม่หลายๆ Lot เราก็อาจจะหันมาลงทุนใน Warrant แทนก็ได้ครับ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอ เนื่องจากการคาดการณ์มักจะมีความไม่แน่นอน เราก็อย่าลืมตั้งจุด Stop Loss ไว้ด้วยนะครับ