Friday, September 28, 2012

QE3หนุนSETนิวไฮ-เงินล้น

QE3หนุนSETนิวไฮ-เงินล้น
       
  ** คาดโค้งสุดท้ายปีไหลเข้าไม่ต่ำ 3 หมื่นลบ.

           QE3 ทำตลาดฯหุ้น -ทอง -เงินบาท คึกรับทุนนอก โดยเฉพาะ SET Index ทำนิวไฮแตะ 1,300 จุด สูงสุดในรอบ 16 ปี และ 11 วันทำการ นับจากประกาศ QE3 ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,014.17 ลบ. ขณะที่ยอดสะสมสุทธิ ตั้งแต่ 29 พ.ย.54 ถึงปัจจุบัน มียอดซื้อสะสม 7.4 หมื่นลบ. ด้าน ตลท. ห่วงทุนนอกทะลัก อาจทำภาวะฟองสบู่ เตือน ระมัดระวังลงทุน ส่วน กูรู เชียร์ลงทุนหุ้นผลงานQ3 แจ่ม เน้นกลุ่มแบงก์-อสังหาฯ- ค้าปลีก เชื่อโค้งสุดท้ายปีทุนนอกทะลักอีก 3-4 หมื่นลบ. มีลุ้นดัชนีฯ แตะ 1350 จุด ส่วน MTS Gold มองราคาทองคำไปต่อ แนะซื้อสะสม


*11 วันทำการ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,014.17 ลบ.
       
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการหารือของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2555 และไฟเขียวใช้มาตรการการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ (QE3) ในการเข้าช่วยซื้อพันธบัตร 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯต่อเดือนไปเรื่อยๆไม่กำหนดเวลาสิ้นสุด และการเพิ่มมาตรการผ่อนคลายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ไว้ระดับเดิมที่ 0.0.25%เพิ่มขึ้นอีก 1 ปี จากเดิมที่คาดว่าจะสิ้นสุดปี 2557 (ค.ศ. 2014) เป็นสิ้นสุดในปี 2558 (ค.ศ.2015) เพื่อดูแลการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐฯ ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคเอเซียและไทยเพิ่มขึ้น
         ส่งผลให้ภาวะการลงทุนขานรับอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ,ทองคำ,ค่าเงินบาท รวมถึงตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2555 หลังQE3 คลอด ดัชนีฯปิดที่ระดับ 1276.12 จุด เพิ่มขึ้น 18.43 จุด หรือ 1.47% มูลค่าการซื้อขาย 57,212.50 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบ 16 ปี และดัชนีฯทำสถิติสูงสุดอีกครั้งในวันที่ 28 ก.ย. 2555 ดัชนีฯทำระดับสูงสุดที่ระดับ 1300.17 จุด ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 1298.79 จุด เพิ่มขึ้น 12.68 บาท หรือ 0.99% มูลค่าการซื้อขาย 36,077.29 ล้านบาท สรุปปริมาณการซื้อขายช่วง 14 ก.ย. 2555 ถึงวันที่ 28 ก.ย. 2555 รวม 11 วันทำการ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,014.17 ล้านบาท

* ตลท.ห่วงQE3 ทำทุนนอกทะลัก ก่อเกิดภาวะฟองสบู่
     นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรงเป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ทองคำ หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) ทำให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลก เชื่อว่าจะมีสภาพคล่องส่วนเกินอีกมากและพร้อมที่จะไหลเข้าตลาดหุ้น โดยเฉพาะเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ได้อานิสงส์ตรงนี้
     อย่างไรก็ตาม ก็ต้องจับตามาตรการการคลังของสหรัฐที่จะหมดอายุว่าจะมีวิธีจัดการอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติในประเทศที่จะส่งผลต่อเม็ดเงินไหลเข้า-ออกด้วย โดยจะต้องระมัดระวังถ้าช่วง 3 เดือนนี้มีเงินทุนไหลเข้ามามากต่อเนื่องนานๆ และปริมาณมากๆ ให้จับตาไว้ เพราะอาจเกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นได้
        แต่ ณ ขณะนี้คงจะยังไม่มีปัญหาดังกล่าว เพราะค่า P/E ตลาดหุ้นไทยยังไม่สูง โดยขณะนี้ค่า P/E อยู่ที่ 13-14 เท่าก็ถือว่ายังไม่แพงเมื่อเทียบกับที่อื่น แต่ก็เชื่อว่าเม็ดเงินน่าจะไหลเข้าต่อเนื่องทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร อย่างเช่นตลาดพันธบัตร 8 เดือนแรก มียอดนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 6.7 แสนล้านบาท เกือบเท่าปี 54 ทั้งปีที่ 6.96 แสนล้านบาท เนื่องจากพันธบัตรบ้านเราให้ผลตอบแทนสูง

'จรัมพร' ชี้ หุ้นไทยช่วงนี้ยังผันผวน เตือน ระมัดระวังลงทุน
     นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มีความผันผวนค่อนข้างสูง เนื่องจากมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดเอเชียค่อนข้างมากจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป ดังนั้นนักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานในประเทศจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่สภาพคล่องที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วจะส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนได้มาก
     'ตอนนี้ตลาดฯ ผันผวนมาก พอเม็ดเงินไหลเข้าก็บวก ไหลออกก็ร่วงทันที ผันผวนทุกวัน มูลค่าซื้อขายก็ผันผวนบวกลบไม่เกิน 3 พันล้านบาท ดังนั้นนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง' นายจรัมพร กล่าว
ทั้งนี้กรณีที่รายงาน CG Watch ปรับอันดับไทยขึ้นเป็นอันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์และฮ่องกงจากในปี 2553 ที่อยู่ในอันดับที่ 4 มองว่าจะส่งผลดีกับบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีธรรมาภิบาล หรือ CG ที่ดี เนื่องจากจะมีกองทุนต่างประเทศที่มีวงเงินลงทุนมากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจะเลือกเข้ามาลงทุนเฉพาะบริษัทที่มี CG ดีและเชื่อว่าเม็ดเงินเหล่านั้นก็จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากด้วย
         สำหรับผลสำรวจ CG Watch Market Scores ระบุว่าประเทศไทยได้อันดับที่ 3 จากทั้งหมด 11 ประเทศในเอเชีย โดยได้คะแนนดีขึ้น 4 หมวด จาก 5 หมวด โดยหมวดบรรยากาศด้านการเมืองและกฏหมาย ไทยได้เท่าเดิมคือ 54% จากคะแนนเฉลี่ยเอเชียอยู่ที่ 55% โดยรายงานระบุว่าเป็นผลมาจากช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาการแก้ไขกฏหมายไทยไม่มีความคืบหน้า

* โบรกฯ เผยต่างชาติขายหุ้นไทยถึง 4 วันจาก 5 วันทำการ
      บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ต่างชาติขายหุ้นไทยถึง 4 วันจาก 5 วันทำการหลังสุดFund Flow ไหลออกจากภูมิภาคเอเซียวานนี้(27 ก.ย.55) เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน แต่มูลค่าลดลงเหลือเพียง 9 ล้านเหรียญฯ ทั้งนี้ มี 2 ประเทศที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิ ได้แก่ ไต้หวัน 108 ล้านเหรียญฯ และอินโดนีเซีย 20 ล้านเหรียญฯ แต่ได้ขายสุทธิออกมาในอีก 3 ประเทศที่เหลือ คือเกาหลีใต้ 120 ล้านเหรียญฯ ไทย 15 ล้านเหรียญฯ และฟิลิปปินส์ 3 ล้านเหรียญฯ อย่างไรก็ดี ยอดรวมทั้งเดือน ก.ย.ในตลาดหุ้นเอเซีย ยังคงเป็นการซื้อสุทธิเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันราว 5.5 พันล้านเหรียญฯ (ซื้อสุทธิ 14 วันจากทั้งหมด 19 วันทำการ)
     สำหรับความเคลื่อนไหวของ Fund Flow ในไทย ช่วง 5 วันหลังสุด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิถึง 4 วัน กดดันยอดสะสมสุทธิตั้งแต่ 29 พ.ย.2554 จนถึงปัจจุบันลดลงมาเหลือเพียง 7.4 หมื่นล้านบาท (นับรวม Big Lot ของหุ้น BAY มูลค่า 1.64 หมื่นล้านบาท) และยอดสะสมของเดือน ก.ย. เป็นการขายสุทธิ 790 ล้านบาท คล้ายกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ช่วง 6 วันหลังสุดขายสุทธิออกมาถึง 5 วันราว 3 พันล้านบาท หลังจากที่ได้ซื้อสุทธิมา 10 วันติดต่อกันก่อนหน้านี้รวม 7 พันล้านบาท

* กูรู แนะลงทุนหุ้นผลงานQ3แจ่ม ปลอดภัยสุด
     นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ภายหลังจากจากธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ได้ประกาศใช้QE3 ส่งผลให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นโดยที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ก็ได้ระบุว่าจะพยายามดูแลการไหลเข้าของเงินทุนให้ใกล้เคียงกับประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าลงทุนในตลาดหุ้น และหากประเมินแล้วเงินทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาจะไปเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มหลัก 30 อันดับแรกในหมดSET50 อาทิ กลุ่มสถาบันการเงิน และสื่อสาร
      อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยได้นานเท่าใด แต่เชื่อว่าหากผลประกอบการในไตรมาส3/55ที่กำลังจะทยอยประกาศออกมาไม่สอดคล้องกันกับราคาหุ้นก็จะมีแรงขายทำกำไรออกมาได้ โดยกลยุทธ์การลงทุนควรลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการดี อาทิ กลุ่มสถาบันการเงิน อสังหาฯ ค้าปลีก และกลุ่มรับประโยชน์จากท่องเที่ยว ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังคงเป้าไว้ที่ 1,300-1,330 จุด

* คาดโค้งท้ายปีนี้ทุนนอกทะลักอีก 3-4 หมื่นลบ.ทำหุ้นไทยมีลุ้นแตะ 1350 จุด
         นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเข้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด คาดการณ์ว่า จะมีเม็ดเงินทุนนอกไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยราว 3 - 4 หมื่นล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งมีโอกาสที่จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1350 จุด ในระยะสั้น และเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินทุนนอกไปจนถึงปี2556 เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญ

* MTS Gold มองราคาทองคำไปต่อ แนะซื้อสะสม
      นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก เปิดเผยว่าประเด็นมาตรการ QE3 ที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวไปแล้ว 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งคาดว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลบวกในระยะยาวและคาดว่าราคาทองคำยังสามารถรับข่าว QE3 และสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 100 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งมีโอกาสจะเห็นราคาทองคำถึง 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้มีโอกาสถึง80% ที่ราคาทองโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะมาตรการ QE มีออกมาทั้งในประเทศญี่ปุ่น จีนและยุโรป และเมื่อเม็ดเงินออกสู่ระบบเป็นจำนวนมากจะส่งผลให้เงินล้นตลาดและภาวะเงินเฟ้อมีโอกาสเกิดขึ้นสูง ดังนั้นนักลงทุนจะหันเข้ามาหาสินทรัพย์ทองคำเพื่อหลีกหนีภาวะเงินเฟ้อดังกล่าวมากขึ้น ส่วนแนวรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ประเมินไว้ที่ 1,700 ดอลลาร์/ออนซ์
         'ระยะสั้นที่ผ่านมาที่ราคาทองลงนิดหน่อยมาจากการประท้วงในกรีซและสเปน กดดันเงินยูโรอ่อนค่า แต่เมื่อประท้วงสิ้นสุดมองว่า มาตรการ QE ที่ออกมาในแต่ละประเทศ ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในระยะกลาง-ยาวบวกต่อได้ 'นายแพทย์กฤชรัตน์กล่าว
         ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนทองคำในช่วงนี้สำหรับนักลงทุนระยะยาวสามารถเข้าซื้อสะสมได้ ส่วนนักลงทุนระยะสั้นรอจังหวะราคาทองอ่อนตัวลงแล้วเข้าซื้อ ส่วน Gold Futures แนะนำให้เก็งกำไร

* 'ศุภวุฒิ' เตือนระวังQE3 ทำบาทแข็ง สั่งจับตา 30 เดือนจากนี้
         นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ภัทร เปิดเผยว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์นับจากนี้จะแข็งค่าและผันผวนมากขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบ 3 หรือ QE3 ซึ่งไม่มีข้อจำกัดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด โดยนักวิเคราะห์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีการอัดฉีดเม็ดเงินไปจนถึงกลางปี 2558 หรืออีกประมาณ 30 เดือนนับจากนี้ ซึ่งจะทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และจะเห็นได้ว่าปัจจุบันอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยพันธบัตรของสหรัฐฯ ระยะ 2 ปีอยู่ที่ 0.25% ขณะที่พันธบัตรไทยอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 3% ซึ่งอาจเป็นแรงจูงใจถึงการไหลเข้าของเงินทุนอย่างต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 30 เดือนเช่นกัน
         ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและเห็นว่าสถานการณ์นี้มีความไม่น่าไว้วางใจและมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเงินทุนจำนวนมากจะไหลเข้ามาเมื่อไหร่ ขณะเดียวกันภาคเอกชนที่มีการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศจะต้องระมัดระวังความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ในส่วนของผู้ฝากเงินมีแนวโน้มที่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น จากการที่ธนาคารพาณิชย์แข่งขันระดมเงินฝากอย่างต่อเนื่อง
         'QE3 ที่สหรัฐฯ ประกาศอย่างไม่มีจุดจบ ตั้งข้อสังเกตว่าจะอยู่ไปอีกประมาณ 30 เดือนถึงกลางปี 2015 และถ้าดอกเบี้ยสหรัฐฯ ต่ำขนาดนั้น สภาพคล่องล้นระบบ ดอลลาร์อ่อนลงมาก อาจมีเงินไหลเข้ามายังไทยได้ บาทจะผันผวนแข็งขึ้นเร็ว แต่หากมีความตื่นตระหนกเงินขาออกก็จะผันผวนเป็นขาลงได้มากขึ้นเช่นกัน ส่วนจะเริ่มเห็นผลจาก QE3 เมื่อไหร่คงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับจุดกระตุ้นและตำราเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งย้อนประวัติศาสตร์โลก ไม่มีครั้งไหนเลยที่ประเทศหลักออกมาบอกว่าจะพิมพ์เงินออกมาในระบบ ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะมีผลเมื่อไหร่ แต่รู้ว่าความเสี่ยงสูงมากที่เงินจะทะลักเข้ามา ต้องมอนิเตอร์ไปอีก 30 เดือน' นายศุภวุฒิ กล่าว
      ด้านนักค้าเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทยเบื้องต้นประเมินว่าจะยังมีสัญญาณแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในระยะสั้นจะประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของสัปดาห์หน้าไว้ที่ 30.70 บาท/ดอลลาร์ แต่ในอนาคตอันใกล้หากค่าเงินบาทหลุดระดับ 30.50 บาท/ดอลลาร์ ก็คาดว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้อีก
         ทั้งนี้ สาเหตุจากกรณีสเปนกำลังจะขอเงินช่วยเหลือจากกองทุนEFMโดยประเด็นดังกล่าวจะทำให้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าตามทิศทางเดียวกับสกุลเงินยูโรขณะเดียวกันหลายฝ่ายก็ยังประเมินเศรษฐกิจประเทศจีนที่กำลังชะลอตัวซึ่งรัฐบาลอาจจะมีมาตรการเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทำให้แนวโน้มเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้าในตลาดเอเชียมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน

* "ประสาร"ย้ำไม่ประมาทผลกระทบQE3 พร้อมรับภาวะเงินทุนไหลเข้า
         ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ผลกระทบจากมาตรการQE- 3 เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม และไว้วางใจไม่ได้ แต่เชื่อว่าภูมิภาคละตินอเมริกาเป็นภูมิภาคที่เงินทุนจะไหลเข้ามากที่สุด เพราะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าเอเชีย แม้ผลของคิวอี 3 จะทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น 1- 2% แต่ไม่รุนแรงเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาค
         ดร.ประสาร กล่าวว่า การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมามีความสมดุล เห็นได้จากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตลาดหุ้น และพันธบัตร จำนวน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ขณะเดียวกันก็มีการลงทุนต่างไปประเทศของคนไทย จำนวน 8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป รวมทั้งการที่ดุลชำระเงินมีแนวโน้มเกินดุลเล็กน้อย ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ ในปีนี้ ทำให้แรงกดดันค่าเงินบาทแข็งค่าลดลง
          ผู้ว่าฯธปท. ย้ำว่า ภาคเอกชนไม่ควรชะล่าใจ และต้องมีการบริหารความเสี่ยง เพราะธปท.จะเข้าไปดูแลค่าเงินบาท เมื่อเกิดภาวะตื่นตระหนก หรือการเคลื่อนไหวที่ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย โดยจะไม่มีการฝืนกลไกตลาด ซึ่งขณะนี้ธปท. ยังมีเครื่องมือในการดูแล และสามารถใช้ได้ดีพอสมควร แต่การดำเนินนโยบายก็มีต้นทุน จึงต้องผสมผสานการใช้นโยบาย ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ย รวมถึงกฎระเบียบที่ใช้ดูแลสถาบันการเงิน เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ผลพวงจากเศรษฐกิจโลกและวิกฤติการเงินในยุโรป ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
         

No comments:

Post a Comment