Saturday, October 6, 2012

ระวัง!! SETต.ค.ส่อปรับฐาน

ระวัง!! SETต.ค.ส่อปรับฐาน
         
*กูรู งัด 4 เงื่อนไข พิจารณาก่อนลงทุน

     
พบ 2 สัญญาณอันตรายส่อแววทำ SETเสี่ยงปรับฐาน คือทุนนอกอาจแค่ไหลเข้าระยะสั้น -หุ้นหนุน SETที่ผ่านมาไม่ใช้หุ้นใหญ่ใน SET50 เตือนลงทุนอย่างระวัง ชู 4 เงื่อนไขพิจารณาก่อนลงทุน ชี้ หุ้นอสังหาฯ-ยานยนต์เข้าแก๊ปสุด ด้านบล.กรุงศรี แนะถือเงินสดมากกว่า 50% ของพอร์ตปลอดภัย หลังคาดเดือนนี้ SETขยับในกรอบ 1,270-1,310 จุด ฟากเกียรตินาคิน แนะ “อ่อนตัวซื้อ” พร้อมแนะ 19 หุ้นTop Pick ใน ต.ค.


* โบรกฯ เผย 2 สัญญาณอันตราย ส่อแววSETเสี่ยงปรับฐาน
        บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า นับจากเดือน ก.ย.2555 จนถึงปัจจุบัน SET Index ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 7% และทำให้ค่า PER ของตลาดหุ้นไทย Rerate เพิ่มขึ้นเกือบ 1เท่า จนล่าสุดมีค่า Current PER สูงถึง 15.3 เท่า (Expected PER 14.78 เท่า) ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงกว่าภาวะปกติ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนเกิดจาก Fund Flow ที่ไหลเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทย โดยในช่วงเวลานับจากต้นเดือน ก.ย.2555 จนถึง 3 ต.ค.2555 พบว่า มีกลุ่มนักลงทุนที่เป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดอยู่ 2 กลุ่มหลักได้แก่ นักลงทุนต่างชาติ (ซื้อสุทธิสะสม 6.78 พันล้านบาท) และนักลงทุนสถาบันในประเทศ(ซื้อสุทธิ 2.23 พันล้านบาท) ตรงกันข้ามกับนักลงทุนรายบุคคลเป็นผู้ขายสุทธิ แต่เป็นที่สังเกตว่าการปรับตัวขึ้นของ SET Index ในรอบนี้เห็นการเปลี่ยนแปลง 2 ประการ และน่าจะ ทำให้ความเสี่ยงต่อการปรับฐานของตลาดยังมีอยู่ ได้แก่
       โครงสร้างการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ จากเดิมที่ต่างชาติเคยถือผ่านNVDR (ไม่มี Voting right) เฉลี่ยราว 6% ของมูลค่าตลาดรวม (Market Cap. รวมของตลาดอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านล้านบาท)เพิ่มเป็นระดับ 7% ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตรงกันข้าม การถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนโดยตรง และปิดโอนฯทางทะเบียนเป็นชื่อของนักลงทุนต่างชาติ มีการย่อตัวเล็กน้อยจากที่อยู่ในระดับ 30.2% ในเดือน มี.ค. ลงมาอยู่ 29.3% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็น Indicator สำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย อาจเป็นเพียงเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนระยะสั้นและพร้อมจะไหลกลับออกไปได้ไม่ยาก
        นอกจากนี้ หุ้นขนาดกลาง และเล็ก เป็นผู้นำตลาด สะท้อนจากที่ในช่วงที่ SET เพิ่มขึ้นในช่วงเดือน ส.ค. เป็นต้นมา พบว่า SET50 ให้ผลตอบแทนที่ Under Perform SET Index มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า หุ้นหลักที่เป็นแรงขับเคลื่อน SET Indexไม่ใช่หุ้นใหญ่ใน SET50 ซึ่งน่าจะเกิดจากหุ้นใหญ่ในหลายๆ อุตสาหกรรม มี PER ที่สูงเกินควร

* เตือนลงทุนอย่างระวัง ชู 4 เงื่อนไขพิจารณา ชี้หุ้นอสังหาฯ-ยานยนต์เข้าแก๊ปสุด
      ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย แนะนำให้นักลงทุน คัดเลือกหุ้นลงทุนอย่างระมัดระวัง และ ควรเน้นไปที่หุ้น เข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 1) Low Beta (น้อยกว่า 1 /ผันผวนน้อยกว่า SET Index) 2) Dividend Yield สูง คือ ควรเกิน 4% ชนะเงินเฟ้อ 3) PER ต่ำราว 10-12 เท่า 4) ราคาหุ้นไม่ควรเกินFair Value ปี 2555 ที่นักวิเคราะห์คาดการการณ์ไว้ โดยควรจะมี upside เกิน 10% และ 5) มี EPS Growth สูง หรือ เป็นหุ้นที่Turnaround (กำไรในปี 2556 ฟื้นตัวจากปี 2555 ) พบว่ามีหุ้นอย่างน้อย 2 กลุ่ม ที่เข้าองค์ประกอบครบคือ
        Consumer finance 1) KCAR(FV@B21.6) เงินปันผลสูงถึง 6.2% ปีนี้ และ 7.5% ปีหน้า พร้อมกับมี EPS Growthสูงถึง 39% และ 21% ตามลำดับ และ 2) AEONTS(FV@B83) เงินปันผลสูงถึง 4.07% ปีนี้ และ 4.8% ปีหน้าขณะที่ EPS Growth สูงถึง 700% และ 17%
      อสังหาริมทรัพย์ 1) NOBLE (FV@7.63) มีปันผลเด่น คือ div yield 5.75% ปีนี้ และ 6.42% ปีหน้า โดยมี EPSGrowth 26% และ 11.5% ตามลำดับ เพียงแต่ในงวด 3Q55 กำไรอาจจะไม่โดดเด่น เพราะการโอนรับรู้รายได้จะเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในงวด 4Q55 เป็นต้นไป และ 2) ROJNA(FV@12) มีปันผล 4% ปีนี้ และ 4.6% ปีหน้า EPSGrowth ก้าวกระโดดในปี 2556 หลังจากได้รับผลกระทบจาก ปัญหาน้ำท่วมในปี 2554 และต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2555
      รถยนต์ จุดเด่นที่ EPS Growth แต่เงินปันผลจะน้อยกว่า 2 กลุ่มแรก คือ 1) STANLY(FV@B268) มี EPS Growthเด่นราว 117% ปีนี้ และ 18% ปีหน้า แต่มีเงินปันผลปานกลางคือ div yield 2.9% ปีนี้ และ 3.5% ปีหน้า และ 2)SAT(FV@B33.5) มี EPS Growth เด่นราว 115% ปีนี้ และ 21.4% ปีหน้า แต่มีเงินปันผลปานกลางคือ div yield 3%ปีนี้ และ 3.7% ปีหน้า

* กรุงศรี แนะเดือนนี้ถือเงินสดมากกว่า 50% ของพอร์ต
        บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนเดือนตุลาคม 2555 ให้ระวังการปรับพอร์ตสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากสถิติการออก QE 2 ครั้งที่ผ่านมาของสหรัฐ เป็นผลทำให้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วง 1-2 เดือนหลังการประกาศใช้มาตรการซึ่งค่อนข้างสวนทางกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าเงินดอลลาร์สหรัฐต้องอ่อนค่าลงจากการมีเม็ดเงินใหม่เพิ่มขึ้นในระบบ คำ อธิบายต่อกรณีนี้คือในช่วงแรกของการ
         ประกาศใช้มาตรการ ความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐรวมถึงราคาสินทรัพย์ในสหรัฐจะชี้นำทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเวลาผ่านไปตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ค่อยๆเผยออกมาไม่สอดคล้องกับความคาดหวังทำให้ค่าเงินถึงค่อยๆอ่อนค่าลงในที่สุด นอกจากนี้จะพบว่าในช่วงที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าดังกล่าว ก็จะมีการปรับฐานของราคาสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆตามมา ทั้งตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำและน้ำมันดิบ โดยเฉพาะ SET Index มีการปรับฐานค่อนข้างรุนแรงหลังการออก QE1 โดยดัชนีปรับลดลงจาก 675 จุดหลังการออกQE1 ในเดือนก.ย.51 ลงไปต่ำสุดที่ราว 380 จุดในปลายเดือนพ.ย.51 หรือลดลงเกือบ 1/2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความวิตกของนักลงทุนต่อวิกฤตการเงินที่ลุกลามไปทั่วโลก รวมถึงแรงขายทำกำไรของนักลงทุนเพื่อรักษาสภาพคล่อง ขณะที่หลังการออก QE2 ในเดือนพ.ย. 53 ดัชนีปรับลดลงจากระดับ 1014 จุด ลงไปต่ำสุดราว949 จุดในเดือนก.พ. 54 หรือลดลงราว 6% หากสถิตินี้ยังคงเป็นจริง (และมีแนวโน้มที่จะเป็นจริงเมื่อพิจารณาจากทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องหลังการออก QE3 เมื่อ13 ก.ย.ที่ผ่านมา) เราจึงคาดหมายแรงขายทำกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง อาทิตลาดหุ้นไทยในระยะเวลาอันใกล้
         กลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากระดับดัชนีปัจจุบันเลยเป้าหมายสิ้นปีของเราที่ 1,256 จุด (14xP/E, 2xP/BV) แล้ว จึงแนะนำทยอยลดสัดส่วนการลงทุนและถือครองเงินสดมากกว่า 50% ของพอร์ต หุ้นกลุ่มที่ยังสามารถทยอยสะสมสำหรับการลงทุนในระยะ 6-12 เดือนขึ้นไปอยู่ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเป็นหลัก (TOP, PTT, PTTGC) คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวช่วงที่เหลือของปี และกลับมาเติบโตในปี 56

* คาดเดือนนี้ SETขยับในกรอบ 1,270-1,310 จุด
     มุมมองทางเทคนิคคาดว่า SET Index ในเดือน ต.ค.จะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวที่กรอบ 1,270-1,310 จุด เป็นกรอบในลักษณะการตึงตัวและคาดว่าการปรับฐานได้ เหตุผลก็คือ 1. การปรับขึ้นของดัชนีฯเมื่อเดือนที่แล้ว ต่อเนื่องสามถึงสี่สัปดาห์ติดต่อกัน ถึงแม้ว่าได้มีการคาดไว้ก่อนหน้าว่าจะมีโอกาสปรับฐานก็ตาม ลักษณะกราฟที่เกิดขึ้น ยังคงแสดงภาวะ Overbought มองในเรื่องรูปแบบราคา มีโอกาสปรับขึ้นอีกราว 5 % จากจุด breakout ที่แนว 1250 จุด หรือราว63 จุด โดยมีเป้าหมายการปรับขึ้นได้ถึง 1,313 จุด
       2. หุ้นรายกลุ่มยังไม่สนับสนุนการปรับขึ้นอย่างมั่นคงของดัชนีตลาดฯ มีเพียงกลุ่มธนาคารที่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ ตามดัชนีตลาดฯ แต่กลุ่มพลังงานและสื่อสารกลับอ่อนแรง จึงคาดว่าดัชนีตลาดฯไม่สามารถผ่านแนว 1,313 จุดได้ง่ายนักนอกจากนี้ รูปแบบดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่ดัชนีตลาดฯจะวกกลับเข้าสู่แนวรับที่ 1,270 จุด ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญตามเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน โดยมีแนวรับแรกบริเวณ 1,290 จุด ตามจุดสูงสุดเดิม เป็นจุดตัดสินใจ
        3. การปรับฐานหากเกิดขึ้นจะเป็นการช่วยทำให้ดัชนีตลาดและภาวะราคาของหุ้นเกิดลักษณะ Oversold ครั้งใหม่เพื่อรองรับการปรับขึ้นในครั้งต่อไป และ4. หุ้นที่เคลื่อนไหวตาม SET INDEX ถ้ามองจากดัชนีกลุ่มหลักๆเช่น ธนาคาร พลังงาน สื่อสาร ก็จะพบว่า ราคาเคลื่อนไหวไม่เสมอกัน (new high บางกลุ่ม /ไม่ new high บางกลุ่ม) ต่างเกิดความตึงตัว และมีภาวะของความเป็น overbought มากที่จะพุ่งขึ้นต่อ จึงเลือกมองหุ้นที่เป็น oversold

* คงน้ำหนักการลงทุน หุ้น ยานยนต์-อสังหาฯ “มากกว่าตลาด”
        บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า หุ้นในกลุ่มยานยนต์ คาดยอดผลิตรถทุบสถิติสูงสุดใน 2H55ยอดผลิตรถยนต์เดือน ส.ค เติบโต 37%YoYสภาอุตสาหกรรมรายงานยอดผลิตรถยนต์ที่ 2.1 แสนคัน ปรับเพิ่มขึ้น 37% YoY ภาพรวม 8 เดือนยอดผลิตรถยนต์อยู่ที่ 1.47ล้านคัน เพิ่มขึ้น 33%YoY โดยตลาดรถกะบะเติบโต 34%YoY เป็น9.2 แสนคัน รับผลบวกจากฟื้นตัวจากปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมทำให้เกิดความต้องการรถใหม่เพื่อทดแทนคันเดิมที่เสียหาย ในขณะที่ตลาดรถยนต์นั่งอยู่ที่ 5.3 แสนคันปรับเพิ่มขึ้น30% นอกจากเป็นการผลิตเพื่อส่งมอบอุปสงค์คงค้าง มาตรการรถคันแรก และการออกโมเดลอีโคคาร์ใหม่อีก 2 รุ่นจากค่ายMITSUBISHI และ SUZUKIคาดครึ่งปีหลังเติบโตโดดเด่น HoH และ YoYเราคาดกำไรสุทธิหุ้นกลุ่มยานยนต์ (ภายใต้ KSS Coverage 6บริษัท) ใน 2H55 ที่ 2.3 พันล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 52% จากครึ่งปีแรก และ 40 เท่าตัว YoY ผลจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะค่าย HONDA ซึ่งคาดยอดผลิตรถทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง โดยสภาอุตสาหกรรมฯคาดยอดการผลิตรถยนต์เติบโต 20% จาก 1 ล้านคันในครึ่งปีแรกเป็น 1.2 ล้านคัน โดยภาพรวมคาดกำไรของกลุ่มปี 55 เติบโต 200%YoY เป็น 3.7พันล้านบาท ด้วยปัจจัยสนับสนุน 1) ฟื้นตัวจากฐานต่ำในปี 54 ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิที่ญี่ปุ่นใน 2Q54 และอุทกภัยภาคกลางใน4Q54 2) การขยายการผลิตรถโมเดลใหม่ๆมากขึ้น โดยเฉพาะโมเดลรถอีโคคาร์ 3) ผลของมาตรการภาษีรถคันแรกซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศ โดยรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้สิทธิราว 4.25แสนคัน หรือ 40% ของยอดขายรถภายในประเทศทั้งหมด 4) อัตราภาษีนิติบุคคลที่ลดลงจาก 30% เหลือ 23%
         คงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” เติบโตโดดเด่นปี 55-56คาดผลประกอบการปี 55 ฟื้นตัวโดดเด่น 200%YoY และเติบโตต่อเนื่อง 15% ในปี 56 รวมถึงมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องหลังปี จากแผนการย้ายฐานการผลิตของค่ายรถยนต์เพื่อใช้ประเทศไทยเป็นฐานการส่งออกในภูมิภาค โดยเราเลือก SAT และ IHL เป็นหุ้น Top pickของกลุ่ม
       ขณะที่หุ้น อสังหาริมทรัพย์ นั้นการขายโครงการแนวราบแข็งแกร่งใน 3Q55ยอด Pre-Sale โครงการแนวราบเติบโตดีใน 3Q55ยอด Pre-Sale ใน 3Q55 ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ลดลงจาก2Q55 ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งหมด 6 รายรวมกันในช่วง ก.ค.จนถึงกลางเดือน ก.ย. 55 เท่ากับ 27.1 พันล้านบาท ต่ำกว่าทั้งไตรมาส 2Q55 ประมาณ 25% เนื่องจากไตรมาส 3 โดยปกติเป็นLow-Season และการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ลดลงใน 3Q55แต่จุดเด่นใน 3Q55 คือ ยอด Pre-Sale ของโครงการแนวราบในช่วง2.5 เดือนของ 3Q55 กลับเพิ่มขึ้นมาที่ 16.7 พันล้านบาทสูงกว่าทั้งไตรมาส 2Q55 ประมาณ 2% แสดงถึงความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่มีต่อมาตรการป้องกันน้ำท่วมในปีนี้ของภาครัฐประกอบกับผู้ประกอบการเริ่มเปิดโครงการแนวราบใหม่เพิ่มมากขึ้นใน 3Q55ผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นใน 4Q55
        ยังคงมุมมองเดิมของเราที่ผลประกอบการ 2H55 ของผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งหมด 6 รายจะมีสัดส่วนที่สูงถึง 59% ของประมาณการทั้งปีของเรา และจะสูงกว่าผลประกอบการ 2H54 ที่ได้รับผลกระทบหนักจากน้ำท่วมในช่วงปลายปีที่แล้ว โดยภาพรวมใน2H55 ผลประกอบการจากธุรกิจหลักของผู้ประกอบการโดยส่วนใหญ่จะไปทำจุดสูงสุดใน 4Q55 โดยเฉพาะ LPN, SPALI และ QHเนื่องจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ส่วนใหญ่กระจุกตัวใน4Q55 และยอด Pre-Sale ของโครงการแนวราบใน 3Q55 ที่แข็งแกร่งช่วยสร้างอัตราเติบโตของรายได้ใน 4Q55 คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” อัตรากำไรถูกกดดัน แม้ว่าผลประกอบการกำลังเข้าสู่ไตรมาสสูงสุดของปีใน 4Q55 ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยบวกเฉพาะของหุ้นในกลุ่มนี้ แต่เราประเมินว่า ปัจจัยเสี่ยงจากการขาดแคลนแรงงานและต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้นยังคงเป็นปัจจัยกดดัน Profit Margin ต่อเนื่องไปอีก 2 ปีข้างหน้าซึ่งเราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปี 56 จะลดลง 1.3% จากปี 55 เหลือ 30.5%เราเลือกหุ้น Top Pick เป็น QH (มูลค่าพื้นฐานปี 55 ที่ 2.05 บาท)

* เกียรตินาคิน ชู 19 หุ้นTop Pick ใน ต.ค.
             บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ในหุ้นระยะสั้น (1-2 สัปดาห์) : แนะนำ “อ่อนตัวซื้อ” หรือ “ถือต่อ” กรณี SET ปิดไม่ต่ำกว่า 1,285 (+/-5) จุด โดยมีเป้าขายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเหนือ 1,317 จุด โดยเน้นหุ้น Top Pick ใน ต.ค.2555 ของเราได้แก่ TISCO, SAT, BCH, PS, BCP ร่วมกับ KBANK, BBL, SAMART, THCOM, TRUE, RS, CPALL, GLOBAL, PTTGC, TOP, SIRI, QH, RML และ ITD

No comments:

Post a Comment